เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทาง Kimleng ได้ทำการจัดเวิร์คซอประดับโลกในสายงานบันทึกเสียง โดยเจ้าสำนัก อย่างก๊อก ได้ทำการอัญเชิญปรมาจารย์ด้านการบันทึกเสียงที่ชื่อว่า Chris Lord Alge มาให้ความรู้ แก่คนที่สนใจร่วมงาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว แน่นอนพูดถึงตรงนี้ หลายคนที่ไม่ได้ติดจามเครดิตการมิกซ์เสียง อาจจะงงว่าเอ๊ะ ตาคริสๆ อะไร เนี่ย เก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำงานให้ใครมาบ้าง ถ้าจะให้ไล่ทั้งหมดคงต้องใช้พื้นที่มากมาย เอาแค่ร็อคๆ ก่อนก็แล้วกัน Greenday, Muse, Bon Jovi เอาแค่ 3 วงนี้ก็กินขาดแล้ว นี่คือคนมิกซ์เสียงอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมดนตรีโลก และทาง The Guitar Mag เราก็ได้รับเกียรติอย่างสูง ให้ได้สัมภาษณ์เขาด้วย ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ยาวมากนัก และอาจจะไม่ได้มีศัพท์แสงทางเทคนิค มากนัก แต่ในแง่แนวคิด แรงบันดาลใจ ของคนที่ผ่าน อุตสาหกรรมดนตรีโลกอย่างโชกโชนผู้นี้ น่าจะทำให้ทุกคนที่สนใจดนตรี ได้แรงบันดาลใจบ่างไม่มากก็น้อย และนี่คือข้อคิดจากราชามิกซ์เสียงของโลก Chris Lord Alge
ก่อนหน้าที่จะมาทำในสาย โปรดักชั่น ด้านการ มิกซ์เสียง นี้ ทำอะไรมาก่อน
CLA : ผมเป็น คนขายยาน่ะ (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ ผมนี่เป็นพ่อค้ายาที่ใช้ได้เลยนะ (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ ผมก็เป็นนักดนตรีธรรมดาๆ นี่แหละ ที่คอยส่งยาให้กับวงอื่นๆ (หัวเราะ) ก็เล่นดนตรีธรรมดานี่แหละครับ
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้ทำงานในสายนี้ ทั้งๆ ที่การเป็นร็อคสตาร์อาจจะเท่กว่า
CLA : อืม คำถามดี และคำตอบที่เหมาะกับคำถามนี้ก็คือลองคิดดูนะ คุณเป็นนักดนตรีใช่มั้ย โอกาสที่คุณจะแจ้งเกิดกลายเป็นร็อคสตาร์ มันคือศูนย์นะ มันก็โอเค ถ้าคุณอยากจะเป็น แต่ทำไมล่ะ ทำไมไม่ลองไปทำงานกับพวกร็อคสตาร์ซะเลยล่ะ ทำงานกับพวกเขาทั้งหมดนั่นแหละ แล้วถ้าคุณได้ทำงานกับพวกเขาเหล่านั้น คุณก็จะเป็นคนที่เทียบเท่ากับคนเหล่านั้น เมื่อคุณสามารถเป็นคนเบื้องหลังที่มีชื่อเสียงได้ คุณก็ยิ่งจะเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น การได้ร่วมงานกับ Bruce Springteen, Bon Jovi, Steven Tyler และคนเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการศักยภาพของคุณ มันก็เป็นเรื่องที่เจ๋งมากๆ ใช่มั้ยล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะเป็นนักดนตรี คนมิกซ์เสียง โปรดิวซ์เซอร์ ถ้าคุณโดดเด่นพอ คุณก็มีคุณค่าไม่ต่างกับร็อคสตาร์หรอก และเห็นไหมล่ะสุดท้ายผมก็กลายเป็นร็อคสตาร์ได้อยู่ดี (หัวเราะ)
งานในช่วงแรกๆ เป็นงานของใคร
CLA : แรกๆ ผมทำงานกับพวก Sugarhill Gang นะ ถ้าจะเอาแบบที่เป็นงานใหญ่ๆ หน่อย ก็ Grandmaster Flash ในเพลงที่ชื่อว่า The Message ก็จะเป็นสายแร๊พหน่อย แน่นอนมันเป็นช่วงที่ผมยังเด็กมาก มันจึงเกิดปัญหาอุปสรรคมากมาย
ความผิดพลาดครั้งแรกที่เกิดขึ้น
CLA : ความผิดพลาดแรกๆ เหรอ มันตอบง่ายมากเลยนะ คุณลองคิดดูนะ ผมเริ่มงานในยุค 80’s ผมเมาตลอดเวลา พี้กัญชา กลางวันโคเคน ดื่มเหล้า และมันก็แย่มาก เพราะ ผมเละเทะมากในระหว่างที่ทำงาน เล่นยา ปาร์ตี้ แล้วเข้ามาทำงาน จริงอยู่งานมันอาจจะเสร็จลงไปได้ แต่เวลาทำงานคุณไม่ได้อยู่ในสภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ มันทำให้พลาดอะไรหลายๆ อย่างไปเยอะมากๆ มันมีความผิดพลาดมากมาย ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากจะทำงานใหม่ทั้งหมดเลยนะ ผมอยากจะโฟกัสให้การทำงาน ไม่ใช่โฟกัสแต่จะเมายาปาร์ตี้อย่างเดียว ซึ่งพอเราเริ่มเติบโตขึ้นในวงการดนตรี ชีวิตวัยแบบนั้น มันก็ควรจะต้องจบ ผมก็แค่ตื่นขึ้น แล้วบอกกับตัวเองว่า เอาวะแม่งต้องจบแล้ว แต่ก็อย่างที่บอกไปชีวิตในช่วงวัยนั้น มันก็คือความผิดพลาดในการทำงานของผมทั้งหมดนั่นแหละ
ช่วงที่ทำงานให้ใคร แล้วรู้สึกว่าโอเค เราสามารถกำหนดมาตรฐานตัวเองได้แล้ว หรือหาลายมือของตัวเองเจอ
CLA : ถ้าเรื่องลายมือของตัวเองผมมีตั้งแต่วันแรกอยู่แล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบงานแรก กับงานวันนี้ที่ผมมิกซ์ มันต้องต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ลายมือ ของผมมันถูกพัฒนามาจากการทำงานในยุค 80’s แล้วฝีมือของผมก็ถูกขัดเกลา ตรงหลัง Console นั่นแหละ แต่ลายมือของคนเรา มันก็อยู่กับเราเสมอ มันก็คือสิ่งที่คุณคิด ที่คุณได้ยิน และมันก็อยู่ติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิด สิ่งนี้ไม่มีวันเปลี่ยนไปหรอก
มีศิลปินหรือโปรดิวซ์เซอร์คนไหนที่คุณร่วมงานด้วย แล้วรู้สึกทึ่งหรือรู้สึกว่านี่คนนี้เป็นฮีโร่เลย
CLA : ก็มี Dan Hartman โปรดิวซ์เซอร์ที่ทำงานกับ Tina Turner, Joe Cocker เขาสอนเรื่องดีๆ ให้ผมหลายเรื่องมากเลยนะ ที่ลืมไม่ได้ก็คนที่ฝึกผมมาอย่าง Steve Jerome แล้วก็มีอย่าง Howard Benson, Rob Cavallo คือคำว่าฮีโร่ในความหมายของผมเนี่ย ไม่ใช่ แค่เรื่องการทำด้านมิกซ์อย่างเดียวนะ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มากกว่าด้านเทคนิค คือการค้นหาตัวตนของศิลปิน พวกโปรดิวเซอร์ หรือเอนจิเนียร์ที่ผมชอบๆ ไม่ใช่แค่ทำเรื่องมิกซ์ ซาวด์ได้อย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของ การทำให้คนๆ นั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นดึงสิ่งที่อยู่ในหัวของนักดนตรีออกมา ทำให้นักดนตรีมีความสุขมากที่สุด สำหรับผมเรื่องพวกนี้มันสำคัญมากในการทำงานพอๆ กับ ยาเสพติดเลย (หัวเราะ) ยาเสพติดในความหมายของผมหมายถึงพวกกาแฟนะ ผมติดกาแฟ (ยิ้ม)
การทำงานในหลากหลายสไตล์ดนตรี มีความยากง่าย ต่างกันยังไง
CLA : สิ่งที่ผมพยายามตามหาก็คือจุดที่ที่ทำให้ไม่เกิดปัญหาเลย สำหรับผม ทุกๆ งานมีปัญหาเหมือนกันหมด มันก็มีสิ่งที่ต้องแก้ไขเหมือนกัน ผมรู้อยู่แล้วว่าร็อคต้องการซาวด์ประมาณไหน ป็อปต้องการแบบไหน คันทรี่ย์, EDM มันก็มีวิธีการทำซาวด์ที่ต่างกัน ผมได้ทำงานที่แตกต่างกันแบบนี้ตลอดเวลา ผมดีใจนะที่ทุกคนเรียกผมว่าเป็นมือมิกซ์สายร็อค แต่ผมก็สามารถทำงานสไตล์อื่นๆ ได้ วิธีการหนึ่ง ในการสับสไตล์จากป็อปมาร็อค หรือป็อปมาร็อค คุณลองผสมมันเข้าด้วยกันสิ ลองหาจุดกึ่งกลางหรือหาวิธีที่แบบข้ามสาย อย่างเช่นในเพลงป็อป คุณอาจจะมิกซ์ให้มันดูน่าตื่นเต้นขึ้นหน่อย แบบเพลงในแนวร็อค ในชณะที่คุณมิกซ์เพลงร็อค ให้ได้อารมณ์ที่เคลียร์และ Smooth แบบป็อป ลองใช้วิธีข้ามแบบนี้ดูก็ได้ ซึ่งมันมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ
คุณให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ (Gear) และ หู (Ear) ของตัวเองขนาดไหน
CLA : คำตอบนี้ง่ายมากเลย อย่าลืมนะ “หู” ต้องสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ที่จะฟังสิ่งต่าง ผมไม่ได้โฟกัสว่าจะต้องออกไปค้นหา อุปกรณ์ มันมีอุปกรณ์ เจ๋งๆ มากมายๆ ทั้งPlugin ทั้ง Out Board มันก็มีอุปกรณ์ที่โอเคมันใช้งานได้ดี แต่บางทีมันก็ใช้งานไม่ได้ ไม่เหมาะกับงาน ผมจะไม่พูดว่า เฮ้ย กูต้องมีไอ้เครื่องนี้ว่ะ สำหรับผม ใช่ผมมิกซ์บน Console อุปกรณ์ที่ซัพพอร์ตกับตรงนี้มันก็สำคัญ แต่ยังไงซะคุณก็ต้องใช้หูในการทำงานอยู่ดี อุปกรณ์มันเป็นสิ่งที่ทำให้ถึงจุดมุ่งหมายได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์แบบไหน สุดท้ายก็ต้องใช้หู ของคุณตัดสินทำงานอยู่ดี
สมัยนี้อุปกรณ์พวก Digital ต่างๆ พัฒนาขึ้นมามาก แบบนี้พวกที่เป็นอุปกรณ์ Analog ยังจะจำเป็นอยู่ไหม
CLA : สำหรับผมนะ ผมมองว่า ทุกๆ สตูดิโอ ต้องไม่ลืมอดีต แน่นอนทุกวันนี้ ทุกสตูดิโอ มีอุปกรณ์ Digital มี Plugin มากมาย แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะต้องไปลดคุณค่าของอุปกรณ์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว การจะสร้างดนตรี ต้องการอุปกรณ์ที่หลากหลาย แต่ไม่ใช่ว่าของที่คุณมีมันเก่า ล้าสมัยไปสัก 20 ปี แล้วคุณก็บอกว่ามันคงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป สำหรับผม ผมมองว่ามันจะดีกว่า ถ้าเอามาผสมกันได้ ทั้งเก่าและใหม่ แต่ถ้าคิดแบบว่าฉันจะใช้แต่ของใหม่ๆ เท่านั้น ผมว่ามันเป็นวิธีคิดที่ผิด เหมือนกีตาร์ กีตาร์เก่าๆ ก็มีโทนในแบบของมัน ดังนั้นคนที่ฉลาดมันจะต้องมีของพวกนี้ผสมๆ กันนิดๆ หน่อยๆ เพื่อที่จะสร้างภาพที่คุณต้องการ
แนวดนตรีในปัจจุบันที่เป็นพวก Dance Music หรือ EDM มันทำให้วิธีการทำงานเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า
CLA : ก็ต้องปรับนะ ต้องเปิดใจให้กว้างๆ เลย ผมทำงานกับศิลปิน EDM มากมาย คุณต้องฟังแล้วรู้ว่าพวกเขาชอบอะไร ไม่ใช่ แบบ โอ้กูต้องทำแบบ Led Zeppelin ไอ้พวกนี้ไม่เอาหรอก คุณต้องเปิดใจให้กว้าง ถ้าคุณรักดนตรี คุณก็จะรักสิ่งที่คุณทำ คุณต้องฟังสิ่งที่พวกเขาชอบ แล้วบอกว่า เฮ้ยฉันทำแบบนี้ได้ ผมทำให้พวกเขามีความสุขได้เพราะรู้ว่าพวกเขาชอบอะไร เหมือนกินข้าว บางคนชอบแกงเผ็ด คุณก็ต้องทำให้เขา บางคนชอบเบอร์เกอร์ คุณก็ต้องทำให้เขาชอบ เราอยู่ในงานบริการนะ ถ้าศิลปินต้องการอะไร คุณก็ต้องทำการบ้านของคุณ คุณต้องให้สิ่งที่ศิลปินต้องการได้ มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ จะสนุกกับงานหรือเปล่า
ความยากง่ายในการมิกซ์วงดนตรีที่มีเครื่องน้อยชิ้น กับวงที่มีเครื่องหลายๆ ชิ้น แตกต่างกันขนาดไหน
CLA : ถ้าทางเลือกของพวกเค้า คือการมีเป็นพัน ๆ แทร็ค แล้วงานมันเวิร์ค มันก็โอเค เช่นเดียวกัน ถ้ามีแค่ 4 แทร็ค แล้วงานมันโอเค มันก็ได้เหมือนกัน ปัญหาคือหลังจากนั้น งานของเราก็คือการทำให้ สิ่งที่ถูกสร้างสรรค์เหล่านั้นให้มันออกมาให้ดี เรามีหน้าที่ทำให้งานศิลปะเหล่านี้มันออกมาดี แต่ว่าสำหรับผมคำว่า Less Is More มันน่าโอเคกว่า
อยากให้ฝากข้อคิดถึงคนที่ทำงานด้านมิกซ์เสียงสักหน่อย
CLA : สิ่งที่ผมอยากฝากเลย แน่นอนผมท่องเที่ยวมาแล้วมากมาย ผมได้เดินทาง ให้ความรู้ในหลายๆ ที่ รวมถึงที่ไทยนี่ด้วย ผมสามารถสอน เรื่องราวต่างๆ ได้ เทคนิคต่างๆ ในการบันทึกเสียง แต่ผมมีข้อคิดง่ายๆ ให้พวกคุณนะ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณต้องทำมัน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคุณคิดว่าตรงนี้เป็นงานอดิเรก ทำอย่างอื่นดีกว่า มันไม่มีที่ว่างในธุรกิจดนตรี สำหรับคนที่มองว่ามันเป็นงานอดิเรกหรือจ้องจะหาแต่เงินหรอก นี่ไม่ใช่อาชีพที่จะทำเงิน แต่เป็นอาชีพที่ไว้ทำงานศิลปะ สร้างศิลปะที่ยิ่งใหญ่ให้ผู้คน และถ้าคุณโชคดีพอ ที่ได้ทำงานให้กับคนที่ประสบความสำเร็จ เงินมันก็จะมาเอง คุณจะต้องรักดนตรี นี่คือเหตุผลจริงๆ ที่คุณต้องมี ทุกวันนี้ธุรกิจดนตรีเปลี่ยนไป ทุกคนหาของฟรีกันมากขึ้น ยิ่งทำให้คุณต้องโฟกัสเลยว่าต้องเก่งขึ้น ถึงจะประสบความสำเร็จ จงโฟกัสในแง่ของศิลปะ จะดีกว่า ดนตรีมันถึงจะมีคุณค่า
ฝากข้อคิดถึงคนเบื้องหน้าจากใจคนเบื้องหลัง
CLA : อะไรก็ได้ใช่ไหม ก็ฝากว่าให้เวลากับงาน และทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่คุณคิด สร้างสรรค์ มันถูกเรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว และไอเดียของคุณจบเรียบร้อยแล้ว แล้วหลังจากนั้นผมจะจัดการให้ อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากนัก จะบอกง่ายๆ แบบนี้เลย (หัวเราะ)
ขอขอบคุณ : พี่ก๊อก เจ้าสำนักกิมเล้ง, พี่วูดดี้, คุณไบร์ท ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ