“ดนตรี” เป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจ และยังสามารถสร้างความบันเทิง ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ แม้แต่ในทางการแพทย์เองก็ยังมีการนำเอา “ดนตรี” มาใช้บำบัดโรคได้หลากหลาย รวมถึง “โรคซึมเศร้า” …อย่างในกรณีของ Front Man แห่งวง The Worst In Me ที่เขาเคยประสบกับโรคนี้ แต่เขาก็หายจากอาการซึมเศร้านี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว …เราไปคุยกับเขากัน รวมถึงงานเพลงของวงด้วย
แนะนำตัว
Boatz : ชื่อโบ๊ตครับ ชื่อจริง ตะวัน ด้วงตอม ร้องนำและบันทึกเสียงของวง The Worst In Me ครับ
กับโรคซึมเศร้า
Boatz : คือเมื่อก่อนผมทำผิดพลาดหลายเรื่อง และผมได้เสพยาหลายขนานในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน พอถึงจุดพีคของร่างกายที่จะรับได้ ก็ต้องเลิก มันเลยส่งผลบวกกับเรื่องที่ทำผิดพลาด ทำให้มีอาการซึมเศร้าขึ้นมาครับ ซึ่งตอนนี้ก็รักษาอยู่ แต่ก็เพราะได้เล่นดนตรี ทำเพลงกับวง เลยรู้สึกว่ามันช่วยได้ดีเลยครับ แต่ยังไม่หายขาดยังต้องกินยาของหมออยู่เรื่อยๆ
จุดเริ่มของวงและโรคซึมเศร้า
Boatz : การฟอร์มวง ก็เริ่มจากการที่แบงค์เข้ามาเป็นมือเบสวง Carina ในช่วงปี 2010 และฟลุ๊คเข้ามาเล่นกีตาร์ในปี 2014 และการเดินทางของวงสิ้นสุดที่ปี 2015 แต่เรา 3 คนยังอยากทำเพลงในอันเดอร์กราวกันอยู่จึงคุยกันเรื่องทำวงใหม่ ฟลุ๊คเสนอชื่อวง The Worst In Me ที่มาจากชื่อเพลงของวง Like Moths To Flames ผมและแบงค์ก็โอเคเลยใช้ชื่อนี้ โดยครั้งนี้แบงค์จะเล่นกีตาร์คู่กับฟลุ๊คและแบงค์ได้ชวนเอิร์ธรุ่นน้องที่เคยติดตามเราสมัย Carina มาร่วมวงกับเราในฐานะมือเบส ต่อมาเราพูดถึงแนวทางของเพลงว่าจะเป็นแบบไหน ก็คุยกันว่าจะไม่มีซาวตื๊ดแบบ Carina จะทำเป็นแนวใหม่แบบที่เราไม่เคยทำ โดยเป็นโพสต์ฮาร์ดคอร์เล่นสบายๆ ร้องไม่ยาก มีเรฟเฟอเร้นส์จากวง Like Moths To Flames ก็เลยได้เป็นเพลงแรกขึ้นมา แต่ด้วยวงเก่าเรามีนักร้องสองคน แต่วงใหม่ผมร้องคนเดียว ดังนั้นการร้องคลีนพวกเราเลยคิดว่าจะเป็นการเชิญนักร้องจากวงอื่นมาร่วมกับเราแทน เพลงของพวกเราจึงมี Featuring ทุกเพลงในการทำเพลงเราแบ่งหน้าที่กัน แบงค์กับฟลุ๊คคิดลายกีตาร์ เอิร์ธคิดลายเบส ผมเขียนกลองบันทึกเสียงเขียนเนื้อเพลงและออกแบบการร้อง อย่างในเพลงแรก New Again เราได้เบ๊นซ์ จากวง Stray Wolves ซึ่งตอนนั้นอยู่วง Ass Mountain มาเป็นนักร้องรับเชิญและเรามีโชว์ครั้งแรกที่งานเอ๋ยเฟส ครั้งที่ 2 โดยที่เราได้เดียวมือกลองเก่าจาก Carina มาตีให้เฉพาะกิจ จบจากงานนั้นเราก็ยังไม่มีมือกลอง
แต่เรายังทำเพลงกันต่อโดยที่เพลงที่สอง Aftermath เราได้ทามจากวง The Second Season มาช่วยเติมเต็มสีสันในเพลงที่มีความเมโลดิกเล็กน้อย ต่อมาเอิร์ธมือเบสย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้เราเหลือกันแค่สามคนแต่เอิร์ธได้อัดเบสไว้ในเพลงอื่นๆ ก่อนจากพวกเราไป และเพลงที่สามเราได้เสียงสูงจากเบียร์จากวง Like A Secret Seen มาร้องให้ในเพลง Heal ซึ่งไม่นานฟลุ๊คก็ประกาศออกจากวงอย่างเป็นทางการเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว เลยทำให้วงเหลือแค่ผมและแบงค์เท่านั้นแต่เราก็ยังทำเพลงกันต่อ แต่ว่าสุดท้ายแล้วอาการโรคซึมเศร้าของผมก็กำเริบหนักทำให้ผมมองอะไรเป็นแง่ลบไปหมด ผมท้อแท้ที่เพลงไม่ถูกพูดถึงในวงกว้างเท่าไหร่และหลายๆ อย่างผมจึงตัดสินใจไปรักษาตัวอยู่กับแม่ที่เพชรบูรณ์ และคิดว่ามันคงจะจบแล้วสำหรับการเล่นดนตรี แต่แบงค์ยังเชื่อว่าผมจะหายและกลับมาได้เมื่อมีโอกาส พวกเราก็ยังติดต่อกันทางออนไลน์เรื่อยๆ แต่เอิร์ธยังกลับไปไม่ได้ ผมกับแบงค์เลยทำเพลงกันข้ามจังหวัด และรอเอิร์ธกลับมา
ไลน์อัพปัจจุบัน
แบงค์เป็นคนฟอร์มวงขึ้นมาใหม่โดยหาสมาชิกที่ขาดไปมาเติมให้เต็ม โดยได้มะไฟมาเล่นกีตาร์คู่กับแบงค์และได้เบย์รุ่นน้องจากคณะดนตรีและการแสดงมาเล่นเบสให้ และมีน้องแว่นชื่อเอิร์ธมาตีกลอง สรุปอัพล่าสุดของวงก็มี “โบ๊ต” ตะวัน ดวงต้อม (Vocal), “แบงค์” วิววรรธน์ มีแก้ว (Guitar), “มะไฟ” สหวิศิษฎ์ สาริบุตร (Guitar), “เบย์” ธนพงษ์ เลิศจินดา (Bass) และ “เอิร์ธ” ธีรภัทร์ ฮาร์ทลีย์ (Drum) ครับ และติดตามผลงานพวกเราได้ที่เพจ The Worst In Me และแชนแนล YouTube The Worst In Me เช่นกันครับ และตอนนี้พวกเราได้ทำเพลงใหม่กันขึ้น ซึ่งตัวเพลงจะแตกต่างจากเพลงที่ปล่อยไปทั้งหมดพอสมควร ตามสถานการณ์ของวงที่ตอนนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา อาจจะเป็นปลายปีที่ได้ปล่อยหรือไม่ก็ปีหน้า ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ
อยากจะให้โบ้ตฝากถึงคนที่คิดว่าเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกับตัวเอง
Boatz: สำหรับคนที่เป็นโรคนี้เราต้องเข้าใจด้วยว่าส่วนนึงมันเกิดจากความคิดของเรา ยาหมอก็ช่วยได้ส่วนนึง การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เราควรมองถึงสิ่งที่เราเหลืออยู่และคิดในแง่บวกกับมันไม่ว่าจะอะไรก็ตามมันจะช่วยให้ดีขึ้นอาจจะไม่หายขาดแต่จะทำให้เรารับมือกับมันได้ ซึ่งสำหรับผม ดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการฟังหรือได้ทำเองเป็นการบำบัดอย่างนึงครับ บางคนอาจจะบอกว่าโรคนี้ไม่มีจริง เกิดจากการคิดไปเอง ซึ่งผมก็อยากจะบอกว่ามันเป็นปัญหาทางจิต เมื่อจิตมีปัญหามันเลยทำให้เป็นแบบนี้ ดังนั้นเราไม่ต้องสนใจกับคนที่ไม่เชื่อว่าเราเป็นอะไร เพราะเค้าไม่ได้อยู่จุดเดียวกับเรา เมื่อรู้ว่ามีอาการหรือลองทำแบบทดสอบแล้วคิดว่าน่าจะเป็นควรพบจิตแพทย์เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อาการจะหนักลุกลามไปถึงขั้นรุนแรง หรือทำบางอย่างพังโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่นความสัมพันธ์หรือสิ่งที่เรียกว่า “ความฝัน” ครับ