ทุกวันนี้ประเทศเพื่อนบ้านของเราแถบภูมิภาคอาเซียนต่างก็มีวงการดนตรีในแบบของตัวเองที่หลายคนอาจจะไม่รู้ แถมมีศิลปินที่มีคุณภาพมากมายในทุกวงการ เช่นเดียวกับโปรเจ็กต์ใหญ่ที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ กับเพลง Run The Town ของ F Hero (ณัฐวุฒิ ศรีหมอก) ซึ่งได้นำแรปเปอร์ระดับอินเตอร์จากกัมพูชา VannDa เจ้าของเพลงดังอย่าง Time To Rise มาร่วมโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับ Sprite และ 1Mill นี่คือการร่วมงานกับเด็กรุ่นใหม่ และการร่วมงานกันในระดับภูมิภาคของ Community ของฮิปฮอป ซึ่งเราได้รับเกียรติจาก VannDa มาพูดคุยกันด้วย ที่มาของงานนี้จะเป็นอย่างไร มาพูดคุยกับทั้ง 2 ศิลปินกัน
ที่มาของโปรเจ็กต์ใหญ่ในเพลง Run The Town จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้คืออะไร
F Hero : จุดเริ่มต้นจากการที่ผมได้ฟังเพลง และเห็น MV Time To Rise ของ VannDa ผมตื่นเต้นมาก มันเชื่อมโยงไปที่การตั้ง High Cloud Entertainment ด้วย ผมอยากประกาศว่าเราเป็นใคร รากเราคืออะไร คราวนี้สิ่งที่ Time To Rise เป็น มันตรงกับเจตจำนงของผม กับสิ่งที่ผมอยากทำในชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ก็เลยอยากร่วมงานกับ VannDa มาก ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะติดต่อเขายังไงเลยถือวิสาสะ แอด IG แล้วทักตรงไปเลย ซึ่งโชคดีที่เขาตอบกลับมา พอเราได้ VannDa มาร่วมงานเราก็คิดถึงโปรดิวเซอร์ก่อน คนแรกก็คือ Nino เราพิสูจน์มาหลายงานแล้ว อย่างเพลง Mirror Mirror ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำงานระดับ Global ได้จริงๆ แล้วเราก็เลยคิดไปถึง Sprite ที่เราอยากร่วมงานด้วยมานานแล้ว กับอีกคนคือ 1 Mill ซึ่งผมเป็นแฟนเพลงเค้า คือหลักๆ แล้ว โปรเจ็กต์นี้คือการร่วมงานกับศิลปินต่างประเทศ บวกกับศิลปินไทยเพื่อเปิดประตูระหว่าง ไทยกับต่างประเทศเข้าหากัน
ถามมาทาง VannDa บ้าง ก่อนหน้านั้น VannDa เคยรู้จักผลงานของ F Hero หรือ งานของศิลปินไทยบ้างหรือเปล่า
VannDa : จริงๆ พี่กอล์ฟ ก็มีส่วนในแรงบันดาลใจ ที่ช่วยผลักดันผม ผมเคยเห็นเขาจากการเล่นกับ Bodyslam กับศิลปินไทยผมรู้จักอย่าง UrboyTJ ผมรู้จัก Got7 (แบมแบม) แล้วผมก็ฟังเพลง F Hero ค่อนข้างมากเหมือนกัน ในตอนที่ผมเริ่มศึกษาดนตรีของฝั่งอาเซียน ผมฟังแรปเปอร์ฟิลิปปินส์ แรปเปอร์พม่า แรปเปอร์เวียดนาม แรปเปอร์ลาว ผมฟังมาเยอะมาก เพราะผมอยากศึกษาว่าเพลงฮิปฮอปในกัมพูชาและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเดินไปถึงจุดไหนแล้ว นั่นทำให้ผมดีใจมากที่ได้รู้จักกับทุกคน และมาร่วมงานกับพี่กอล์ฟ F Hero
กับกอล์ฟชักชวน VannDa ยังไงตอนนั้น
F Hero : ก็อย่างที่บอกเราชอบเพลง Time To Rise มาก เราก็ทักไปเลยว่าอยากร่วมงานด้วย พอจะมีทางหรือ ติดต่อยังไงได้บ้าง ก็แสดงความจริงใจให้เขาไป
VannDa : ซึ่งสำหรับตัวผม ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่พี่เขาทักมา เพราะว่าผมพร้อม พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน ผมอยากจะทำเพลงร่วมกับศิลปินในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ผมพร้อมที่จะไประดับอินเตอร์ฯ ด้วยกัน ซึ่งผมต้องขอบคุณพี่ กอล์ฟมากๆ ที่ชวนมาร่วมงานนี้
กับการทำงานในเพลง Run The Town เพลงนี้พูดถึงเรื่องอะไร ในส่วนของบีทต้องการให้ออกมาเป็นสไตล์ไหน
F Hero : พอเราได้ร่วมงานกับ VannDa ผมก็มานั่งทำการบ้านว่า เราอยากจะพูดเรื่องอะไร สิ่งที่เราอยากจะพูดมันต้องมีความ Represent สิ่งที่เราเป็นรากของเรา ถ้าสังเกตดูในฝั่งดนตรี จะมีการแทรกเครื่องดนตรีที่เป็นวัฒนธรรม ของเราทั้ง 2 ประเทศ แล้ว Rhyme ก็พูดถึงทั้งที่มาและที่ไปว่าเราจะไปจุดไหน Run The Town ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ หรือพนมเปญ แต่มันคือเอเชีย นี่คือเมืองของเรา นี่คือซาวด์ของเรา ในเรื่องการทำบีทสนุกมาก Nino ทำบีทขึ้นมา แล้วก็ส่งไปให้ VannDa แล้ว VannDa บอกว่าขอ Chop บีทเลยได้ไหม (หัวเราะ) ผมชอบเรื่อง Music Production ของ VannDa มาก คือเขาจะมี 2 พาร์ท คือพาร์ทดนตรีวัฒนธรรมกับพาร์ทฮิปฮอป เราฟัง Time To Rise ดนตรี วัฒนธรรมบวกฮิปฮอป สุดท้ายการเป็น Drill ผมแบบว้าวเลย เราอยากทำแบบนี้ตลอด ซึ่งเป็นเรฟเฟอเรนซ์ของบีทที่ Nino ทำ คือฮิปฮอปมาก่อน แล้วผสมเครื่องดนตรีไทย พอเราส่งให้ VannDa แล้วเขาทำกลับมาเราแบบ ว้าว เลย ส่วนตัวผมทึ่งกับทีมมิวสิคโปรดักชั่นของ VannDa อยู่แล้ว ซึ่งเขาส่งงานกลับมา ไม่ได้ทำลายสิ่งที่ Nino ทำ แต่ช่วยเสริมให้มันดีมากขึ้น ขนลุกมากๆ เนี่ยผมอยากให้ทีมเขาทำเพลงให้ผมต่างหากเพลงนึงเลย (หัวเราะ) คือในบีทนี้พอมีเครื่องดนตรีที่เป็นวัฒนธรรมของเค้าค่อยๆ ขึ้นมา มันเปลี่ยนมู้ดเพลงไปอีก ซึ่งผมทึ่งในจุดนี้มากๆ แล้วก็มีพวก Autta กับ OG Bobby มาช่วยเขียนด้วย
VannDa : ส่วนทีมของผมก็จะเป็นทีมของ Baramey Production กลุ่มของผมมีศิลปิน เช่น ตัวผมเอง VannDa, Songha, Sophia Kao, Van Than นี่เทพเจ้าแห่งเครื่องดนตรีของพวกเราเลย (หัวเราะ), Rxthey, Khmeng Khmer และ Polarix พวกเรามีความสุขมาก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราช่วยซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ทำให้แค่คนใดคนหนึ่งแต่พวกเราช่วยกันทั้งหมดเหมือนกับวงกลมที่มีการเชื่อมต่อกันทั้งหมด ผมรักพวกเขา เพราะว่าพวกเขาต่างก็มีสกิลในแบบตนเอง ดังนั้นสิ่งนี้ทำให้กลุ่มของเราแข็งแกร่งขึ้น
วันนี้เราได้รับเกียรติพูดคุยกับ VannDa ด้วย อาจจะขอถามย้อนกลับไปว่าคุณเริ่มชอบ Rap Hip Hop ได้ยังไง แล้วการหาเพลงฟัง หรือหา Community ที่ชอบสไตล์นี้ในกัมพูชา ยากง่ายขนาดไหน
VannDa : จริงๆ แล้วมันยากนะครับที่จะหากลุ่มคนที่ทำงานเหมือนกัน ข้อแรกเลย คือ มันยากที่จะหาคนทำงานร่วมกัน ด้วยแนวเพลงของผม ก็ไม่ได้ทำเพื่อให้เข้ากับแนวเพลงที่ทำร่วมกับคนอื่น ส่วนมากผมก็จะทำเพลงตามสิ่งที่ผมชอบ ทำจากเรื่องราวชีวิตจริงของผม เหมือนที่ผมเคยแสดงให้เห็นเรื่องราวต่างๆ ในบทเพลงที่ผ่านมา ซึ่งมันล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างกัน พวกเราก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ไม่ค่อยกว้างขวางมาก ด้วยเรื่องของแนวทางที่ต่างกัน ส่วนเรื่องของการฟังเพลงผมเริ่มฟังเพลงครั้งแรกก่อนเข้าเรียนมัธยม ถ้าจำความได้ ตอนนั้นผมอายุ 6 ขวบ ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย แล้วผมก็กลายเป็นเด็กฮิปฮอปมาตลอดต้องขอบคุณพี่ VannDy พี่ชายแท้ๆ ของผม ตอนนั้นเขาเป็นนักดนตรี ทำเพลง แล้วก็ชอบฮิปฮอป เขาทำให้ผมรักเพลงฮิปฮอป เขาทำให้ผมเริ่มศึกษาเพลงฮิปฮอป และเข้าใจเพลงฮิปฮอป
ใน South East Asia ของพวกเรา มักจะมีปัญหาคล้ายกัน คือเพลงที่ผสมวัฒนธรรมตะวันตกมากๆ มักจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจกับคนในรุ่นก่อน ตัว VannDa เอง เจอปัญหาตรงนี้บ้างหรือเปล่า
VannDa : สำหรับผมอาจจะ ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เพราะผมมีแฟนคลับที่เป็นผู้ใหญ่เยอะ โชคดีที่พวกเขารักเพลง Time To Rise พวกเขารัก Queen Bee พวกเขารักเพลง Sorrow ซึ่งคนรุ่นก่อนเขาชอบเครื่องดนตรีกัมพูชาอยู่แล้ว สิ่งนี้ทำให้ผมอาจจะเชื่อมต่อกับพวกเขาได้ตามภาษาของดนตรี มันเลยไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้ผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีกัมพูชากับฮิปฮอป ก็อาจจะยากที่พวกเขาจะเข้าใจผม อีกปัญหาหนึ่งคือพวกเขาไม่ค่อยมีเวลาฟังเพลง ดังนั้นพวกเขาจะเข้าใจแค่ว่านี่เป็นเพลง แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใจในแนวดนตรีนี้ได้อย่างลึกซึ้ง มันเลยไม่ยากที่จะเชื่อมต่อกัน เพราะคนรุ่นก่อนก็มีความเคารพแก่คนรุ่นใหม่เหมือนกัน ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณด้วยครับ
Time To Rise เป็นเพลงที่ทำให้พวกเรา และคนทั่วโลกรู้จักคุณ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำเพลงนี้ขึ้นมา
VannDa : สาเหตุและแรงกระตุ้นให้ผมทำเพลง Time To Rise ขึ้นมาคือ ข้อแรกผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงของศิลปินยุคก่อนอยู่แล้ว ผมรักเพลงดนตรีของศิลปิน Sinn Sisamuth, Ros Sereysothea, Pen Ron และ Keo Sarath พวกเขาเป็นแรงผลักดันของผม ผมคิดว่าถ้าผมผสมผสานเพลงสำเนียงโบราณของกัมพูชากับฮิปฮอป มันจะออกมายังไง ผลลัพธ์จะเป็นยังไง หลังจากนั้นผมก็พยายามแล้วทำออกมาซึ่งกลายเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน พอทำได้แล้ว มันเลยเป็นอะไรที่ผมภูมิใจมาก เมื่อผมทำได้แล้ว แล้วผมก็มีอีกไอเดียเพิ่มขึ้นมาจากพี่ Laura Mam ขอขอบคุณถึงพี่ Laura Mam ด้วย เขามีความคิดว่าถ้าอาจารย์กง ไณย มาอยู่ในเพลงด้วย ในมิวสิควิดีโอด้วย จะเป็นยังไง ในเมื่อเรามีกระจับปี่เป็นสมบัติมรดกโลกของกัมพูชาเรามีท่านอาจารย์กง ไณย ซึ่งเป็นครูดนตรีในตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเราเอาสิ่งเหล่านี้มารวมกัน มันจะเป็นยังไงดังนั้นผมจึงดึงท่านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลง และผลตอบรับก็ออกมาดีมากๆ ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์กง ไณย เช่นกันสำหรับโปรเจ็กต์นี้
วันที่เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ไปไกลระดับภูมิภาค จนถึงทั่วโลก VannDa มีความรู้สึกยังไงบ้าง
VannDa : ว้าว (หัวเราะ) ผมไม่เคยคิดว่า Time To Rise จะโด่งดัง ไปไกลขนาดนี้ ผมไม่เคยคิดว่าเพลงที่ผมทำจะมีอิทธิพลต่อคนทุกพื้นที่ทั่วโลก ผมไม่แม้แต่จะคิดเลย แล้วอยู่ๆ วันนึงเพลง Time To Rise ก็ได้รับความนิยม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ว้าว!! สิ่งที่ผมทำมันไม่ทำให้ผมเสียใจหรือผิดหวัง ผมทุ่มเทกับมันเต็มที่และส่งผลที่น่าพอใจให้ผมกลับคืนมา ดังนั้นผมจึงเริ่มคิดว่าการที่ทำงานเราต้องพยายามอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรือใหญ่ เพราะเราไม่รู้ผลลัพธ์ของมันหรอก ซึ่งก็หวังว่า Run The Town จะก้าวสู่เวทีระดับโลก แล้วเราสามารถแสดงให้คนทั่วโลกได้รับรู้ด้วยกันได้
จนมาถึงเพลงนี้ ที่อาจจะเป็นบันไดก้าวแรกของการรวมเป็น SEA Hip Hop Culture ในฐานะที่มีส่วนร่วมในงานนี้ Vannda มีความรู้สึกยังไงบ้าง
VannDa : ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และชอบโปรเจ็กต์นี้เป็นอย่างมาก มันเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ร่วมงานกับคนในวงการฮิปฮอประหว่างกัมพูชากับไทย สิ่งเหล่านี้จะทำให้วงการเพลงแรปในอาเซียนแข็งแกร่งขึ้น แล้วผมก็อยากเห็นภาพเช่นนี้อีกในอนาคตในคนรุ่นต่อๆ ไป ผมอยากเห็นความร่วมมือกันระหว่างกัมพูชา-ไทย อยากให้กัมพูชา ไทย ลาว ร่วมมือกัน อยากให้กัมพูชา ไทย เวียดนามร่วมมือกัน อยากให้ลาว กัมพูชา ไทย เวียดนาม พม่า และในประเทศอื่นๆ ร่วมมือกัน ผมอยากเห็นทวีปเอเชียมีการผสมผสานกันระหว่างดนตรีกับดนตรี และครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่ดีที่สุด และจะเป็นก้าวต่อไปสำหรับวงการดนตรีฮิปฮอปในภูมิภาคนี้ เพื่อส่งออกไปทั่วโลก
ในคำถามเดียวกัน วันนี้กอล์ฟกับการร่วมงานกับ VannDa และกำลังจะรันวงการด้วยคนรุ่นใหม่ในระดับภูมิภาค ตื่นเต้นขนาดไหน
F Hero : สำหรับผมถ้าเราเอากำแพงขังอาณาเขต มันก็จะอยู่แค่นี้ แต่ถ้าเราทำลายกำแพงได้ เราจะ Be The One ผมว่ามันไม่ใช่แค่อาณาเขตเส้นแบ่งประเทศ มันคือกำแพงของอายุ มันคือกำแพงของแนวดนตรี ผมค่อนข้างภาคภูมิใจตอนที่ VannDa อัดบีทกลับมา มีเสียงเครื่องดนตรีของกัมพูชา และมีเครื่องดนตรีของไทย ผมว่ามันรวมเป็นลมหายใจเดียวกัน One Love Of Hip Hop มันคือเรื่องนี้ มันคือการไม่มีกำแพงซึ่งกันและกันอีกต่อไป เรามีแต่ความ Respect กัน ซึ่งเพลงนี้มันเป็นสเตปแรกที่เราจะก้าวไปซึ่งอีกไม่นาน ทั้งพวกเรา ทั้ง VannDa เอง ทั้ง Baramey Production หรือ High Cloud เราจะก้าวไปสู่จุดนั้นทั้งหมด
ฝากเพลง Run The Town กับแฟนเพลงสักหน่อย
VannDa : สวัสดีครับทุกคน สำหรับโปรเจ็กต์ Run The Town นี้ ผมคิดว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่มาก ผมได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสำหรับโปรเจ็กต์นี้ พวกเราตั้งใจทำอย่างมาก ใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งจนถึงเวลาที่ได้มาพบกัน และเราได้ทำงานกันจนเสร็จสิ้นทุกอย่าง ทั้งทำ MV พวกเราได้ผ่านเรื่องราวมากมาย ผมอยากขอบคุณอีกครั้งสำหรับทีมงานที่ไม่ทิ้งโปรเจ็กต์นี้ และจะพยายามทำต่อไปสิ่งที่ผมอยากพูดกับแฟนคลับทุกคน คืออยากให้ทุกคนพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่พวกผมกำลังทำอยู่ เนื่องจากมันเป็นก้าวต่อไปของฮิปฮอปในกัมพูชาและอาเซียน มันเป็นการเคลื่อนไหวหนึ่งที่ผมได้ทำขึ้นมาร่วมกับ F Hero, 1Mill และ Sprite พวกเราอยากได้ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เหมือนกับที่พี่กอล์ฟพูด เขาได้ผลักดันผมอย่างมาก สำหรับเรื่องเขตแดน ทุกประเทศอาจจะมีพรมแดน รวมถึงในหลายๆ เรื่องแต่ในดนตรีไม่มีเลย ดนตรีมีแค่ความรัก และการเคารพกัน One Love Respect
F Hero : สำหรับผมมันไม่ใช่แค่การร่วมงาน ระหว่างผมกับ VannDa มันคือการร่วมงานของวงการฮิปฮอปไทยทั้งหมด ที่ Respect ให้วงการฮิปฮอปกัมพูชา เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่า Together We Strong ก้าวไปด้วยกันเราจะไปไกลมากๆ ถ้าคุณได้ดู MV นี้ เชื่อว่าคุณจะสัมผัส พลังที่เราทั้งหมด ทุ่มเท และใส่เข้ามา เพื่อจะ Represent ว่า Run The Town คือการนำเมืองของพวกเราทั้งหมด ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่รวมถึงเอเชีย เข้าไปสู่ระดับโลก นี่เป็นก้าวแรกของเราต้องฝากทุกคนด้วยครับ
นอกจากเพลงนี้ VannDa ยังมีอัลบั้มใหม่มาฝากพวกเราด้วย
VannDa : ขอบคุณกับคำถามนี้ ครับ สั้น ๆ เลยก็คือ ผมมีอัลบั้มที่ 2 ที่มีชื่อว่า Skull 2 ที่ผมปล่อยเพลงไปในเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม หวังว่าทุกคนจะรอฟังอัลบั้มนี้ ซึ่งมันมีทั้งหมด 2 ภาค หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบ ทุกเพลงจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน รวมถึงเพลง Run The Town จะถูกปล่อยออกมาก่อนอัลบั้มที่สองของผมด้วย แล้วผมอยากบอกข่าวดีคือผมมีทัวร์ที่จะจัดขึ้น 5 จังหวัดในประเทศกัมพูชา และผมหวังว่าในอนาคตผมจะทำทัวร์ในประเทศไทยเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นแผนที่ใหญ่ที่สุดของผมในปีนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนจะรอ ขอบคุณมากครับ