ยุคสมัยแห่งการประกวดร้องเพลงตามทีวีต่างๆ มีหลายคนเหมือนกันที่บ่นว่ามันจะมีทำไมเยอะแยะ แต่ข้อดีข้อนึงของรายการเหล่านี้คือการได้เห็น นักร้องที่เคยเป็นขวัญใจ เพลงเก่าๆ ที่เราลืมไป ได้กลับมาต่อยอดให้คนรุ่นใหม่ได้ฟังกัน นอกจากนั้นการมาของนักร้องเก่าๆ เหล่านี้ทำให้เราได้รู้ว่าวงการดนตรีเคยมีคนเก่งเยอะขนาดไหน เช่นเดียวกับมือกีตาร์ท่านนี้ที่ ได้กลับมาอีกครั้งจากรายการ Stage Fighter กับธีมตำนานหมู่สู้ฟัด แต่เขาไม่ใช่แค่นักร้องเสียงดี หน้าตาดี แต่เป็นมือกีตาร์ที่มีฝีมือระดับเทพคนนึงของบ้านเราทีเดียว “ชวิน จิตรสมบูรณ์” หรือพี่จั๊ก นักร้องมือกีตาร์ นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ที่หลายคนอยากจะดูเซ็ตอัพและแนวคิดของเขา เรานำมาให้ทุกท่านได้รับชมรับอ่านกันแล้ว
Talk
อัพเดตผลงาน
พี่จั๊ก : ช่วงนี้ก็ฟอร์มวงเริ่มรับงานที่จะทัวร์แล้ว ก็หยุดรับงานไป 3 ปี คือหลังจากรายการ Stage Fighter ก็ทำให้มีไฟในการกลับมาร้องเพลง ก็รวมวงกับพวก พี่ต้าร์ Mr.Team, พี่ปิงปอง ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ ใช้ชื่อว่าละมุนแบนด์ ซึ่งผมก็สนิทกับพี่ๆ เขาอยู่แล้ว คือรวมกันแล้วแฟนๆ ชอบ ไปทัวร์ก็ร้องเพลงดังของแต่ละคน ซึ่งก็ออกมาดีนะ ส่วนผลงานเพลงส่วนตัว ว่าจะออกซิงเกิ้ลใหม่ปลายปีนี้ รอพี่ว่าน ธนกฤต เขียนเนื้อ (หัวเราะ) ช่วงนี้พี่เขายุ่งๆ (หัวเราะ) แล้วตัวว่านเอง ก็กำลังจะมีอัลบั้ม เขาก็เตือนผมมาว่าต้องไปโปรดิวซ์ด้วย ถ้าเป็นเพลงล่าสุดของผมจริงๆ ก็มีเพลงอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งทำร่วมกับพีท พีระ
ย้อนกลับไปเผื่อน้องๆ จำไม่ได้ (55555) พี่จั๊ก เริ่มเข้าวงการดนตรีช่วงไหนครับ
พี่จั๊ก : คนรู้จักเราในนามของวง Double U ที่มีพวกเพลง ตัวจริงของเธอ เธอสวย อะไรพวกนี้ล่ะนะ ซึ่งเพลงตัวจริงของเธอ หลังจากที่เราไปออกรายการแล้วเล่นเวอร์ชั่นพีท พล แล้ว ก็กลายเป็นกระแส ทำให้น้องๆ ไปหาว่าตาลุงที่ร้องเพลงนี้เป็นใคร (หัวเราะ) ก็ดีใจที่น้องใหม่ๆ ชอบนะครับ แล้วก็มีที่สร้างชื่ออีกก็น่าจะเป็น ภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน ได้รับเกียรติให้ไปเล่นนิดหน่อย ตอนนี้น้องๆ ตัวโตหมดแล้ว นอกนั้นก็เป็นงานอัดกีตาร์ อัดเสียง เล่นให้กับพี่โอม ชาตรี ครับ
พูดถึงเรื่องเล่นกีตาร์ ช่วงที่พี่จั๊กซ้อมหนักๆ ฝึกซ้อมอะไรบ้าง หรือซ้อมกี่ชั่วโมง มีวิธีแบ่งการซ้อมยังไง
พี่จั๊ก : ช่วงนั้นผมซ้อมแบบระห่ำเลยนะ เล่นทั้งวัน ไม่กินข้าวกินปลา นิ้วเป็นหนองเลย แต่มันมากเกินไป มันก็ไม่ได้ต่างกับคนที่วางวินัยการซ้อมดีๆ ถ้าแบ่งให้มันสม่ำเสมอเหมือนเล่นเวทก็ได้แล้ว เช้าสัก 2 ชั่วโมง วอร์มอัพเล็กๆ น้อยๆ ลงมากินข้าวลงมาทำอะไร พอค่ำๆ ก็เปลี่ยนมาเล่นกีตาร์โปร่งบ้าง ร้องเพลงบ้างอีกสัก 2 ชั่วโมง มันก็ต้องฝึกให้ครบๆ แต่ถ้าเป็นช่วงแต่งเพลงก็จะซ้อมน้อยหน่อย เพราะต้องไปโฟกัสด้านอื่นมากกว่า
Setup
กีตาร์ที่ผมใช้ เป็น Gibson Les Paul Custom รุ่น Florentine ตัวนี้ผมได้มานานแล้ว มีอยู่แค่ 3 ตัว มีที่พี่ต้อม ที่เล่นให้พี่ป้อม พี่โต๊ะ อัสนี วสันต์ อีกตัวนึงอยู่ที่คาราบาวมั้งผมไม่แน่ใจ แล้วก็อยู่ที่ผมอีกตัว (หัวเราะ) เป็นกีตาร์ที่เสียงดีมาก ตัวนี้เป็น Semi Hollow ฟีลมันเหมือน 335 ที่ตัวเล็ก สเปกผมจำไม่ค่อยได้ จับแล้วโอเคก็พอแล้ว ตัวนี้เฟร็ต Jumbo ตัว Pickup เป็น 59 กับ 52 (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งตัวนี้เล่นได้ทั้ง Vintage และ Modern ได้ น้ำหนักเบา ก็ร็อคหนักได้ประมาณนึง สายผมใช้ 0.10 ผมว่ามันเหมาะกับกีตาร์มัน แต่ผมก็มีตัวที่ 0.09 นะคือ Brian Moore ตัวแจ้งเกิดผม ตัวนั้นใส่ 0.09 ก็ยังเล่นออกงานเรื่อยๆ เพราะมันมี Piezo ถ้างานไหนต้องเล่นมีเสียงอะคูสติกก็จะใช้ มันก็จะมีแอมป์อะคูสติกที่ผมใช้กับ Brian Moore ด้วย
การต่อทุกอย่างจากกีตาร์ ผมจะมาเข้า Vox Wah Wah ก่อน แล้วไปเข้า Voodoo Lab GCX ที่เป็น Loop แล้วก็มีเอฟเฟ็กต์บางตัวที่ผ่านหน้าตู้ ซึ่งก็คือ EWS Little Brute Drive ผมเอาไว้ Boots จากเสียงแตกตู้ ทำให้เสียงมันหนึบติดมือมากขึ้น Sustain มากขึ้น แล้วก็ Phase 90 หรือ Octave ผมจะเอาไว้ข้างหน้าหมด ส่วนตัวที่ Send Return เข้าพวก Modulation อย่าง Flanger, Chorus จนมาถึง Delay แล้วเข้าที่บอร์ดก็มาผ่าน Volume Pedal ที่หลังเพื่อที่เวลาเราเบา Volume เสียง Drive มันจะยังอยู่ ถ้าเราเอา Volume Pedal ไว้ข้างหน้า เวลาเราเบาเสียงแตกมันจะเบาลงตามไปด้วย ผมจะควบคุม Delay ด้วย พวก Midi กับ Expression Pedal อย่างเวลาเล่นเสียงแบบ Reverse ก็จะเหยียบ Expression Pedal เอา ตัวเอฟเฟ็กต์ที่ใช้บ่อยๆ และผมชอบที่สุดคือ Boss Delay กับ MXR Phase 90 ผมว่าเสียงมันคลาสสิคดี ใช้หมุนปุ่มเดียวง่ายๆ ผมจะเซ็ตเป็นเพลงๆ ไป แล้วผมจะเซ็ตแต่ละปุ่มว่าจะเปิดปิดเอฟเฟ็กต์อะไร ส่วนตัว Power Supply ผมใช้ของ Shark เพราะตัวมันเล็กถ้าใช้ Voodoo Lab เลยตัวมันจะใหญ่ไป ในบอร์ดผมอยากให้เล็กๆ มากกว่า ส่วนแอมป์ผมใช้หัวแอมป์ของ Fender Supersonic 100 Watts ตอนแรกผมได้ยินเสียงตู้ตอนที่ Fender มาเวิร์คชอป แล้วเค้าเอาตัวตู้ Combo 22 Watts มาซึ่งเสียงดีมาก มันมีความ Vintage ด้วย มันมีความเป็นเสียงแบบ Bassman และ Twin Reverb ที่ผมชอบใช้อยู่แล้ว แต่เสียงแตกเป็นแบบ Modern High Gain ซึ่ง Fender ไม่ค่อยทำ ก็เลยรู้สึกว่ามันเหมาะกับเรา มี 3 Channels แล้ว Boots Up Down ได้อีก ก็เลยซัด Head มาเลย Cab ที่ใช้เป็นของ Marshall เป็นเสียงที่เราชอบใช้มา 20 ปี แล้ว มันค่อนข้างตอบสนองเรา ปกติผมใช้ 2×12 อยู่แล้ว ยกเว้นงานใหญ่ๆ ก็ค่อย 4×12 แต่เวทีทั่วไปก็ 2X12 ตัว Speaker ก็เดิมๆ เลย คือผมเคยเจออาการดอกกระพือ เขาไปโมด์ฯ มา แล้วไขอะไรไม่แน่น สักอย่างนี่แหละ ของเดิมๆ ใช้เป็น 10 ปีไม่พัง ไปโมด์ฯ พังเลย ไม่โมด์ฯ ดีกว่า ส่วนหัวแอมป์ผมใช้หลอด Groove Tubes 6L6 4 หลอดในภาค Power ส่วนภาค Pre ยังเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนเพราะของเดิมเสียงมันแรงเกิน แล้วมัน Burn เร็วมาก ต้อง Standby ตลอดแล้วบ้านเรามันเมืองร้อน บางทีซาวด์เช็กแล้วต้องเปิด Standby ทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้แอมป์ใช้งานหนัก ส่วนพวกเบสิก EQ ผมจะปรับกลางๆ แต่แหลม กับกลาง จะเอาลงเยอะหน่อยไม่เกินเที่ยง ผมไม่ค่อยชอบเสียงแหลมเท่าไหร่ มันทรมานคนดูไปนิดนึง ผมไม่ค่อยชอบให้แหลมเกิน ส่วนเวลา ไมค์กิ้งผมจะให้มันอยู่บริเวณขอบของโคน ลำโพง มันจะได้ซาวด์ที่ค่อนข้างตรงกับที่เราปรับหน้าตู้ ส่วนอื่นๆ ปิ๊คผมใช้ 1.00 mm สาย Cable ที่ใช้ก็เป็น Monster
Tips
อยากให้พี่จั๊กฝากน้องๆ เรื่องการคิดงานโซโล่ให้เข้ากับตัวเพลงครับ
พี่จั๊ก : มันอยู่ที่ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน อย่าให้มันเยอะหรือน้อยเกิน ลองใช้เวลากับมันสักนิดอย่างเพิ่งไปรีบ คือเดี๋ยวนี้คนทำเพลงจะใช้เวลาน้อยเกินไป มันก็จะสร้างงานที่เป็น Masterpiece ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีใครเริ่มสร้างเราก็จะไม่มีเพลงแบบนี้ให้ฟัง วิธีคิดไลน์ทั้งหลายอย่าพยายามยัดเยียดให้เยอะเกินไป ลองนั่งฟังหลายๆ รอบครับ