มือกีตาร์ในสไตล์กีตาร์คู่เราอาจจะนึกไปถึงพวกที่เล่นร็อค เฮฟวี่ หันหลังชนกัน เมทัล ที่โยกหัวแทบหลุดหน้าเวที อินดี้กีตาร์ Delay ล่องลอย ก็เป็นสไตล์แบบที่เราได้เห็นกันจนชินตา ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่กับวงดนตรีที่ชื่อว่า 25 Hours เรื่องราวของกีตาร์คู่ของวงนี้ดูแตกต่างออกไป โฟร์ และ ปู๋ 2 มือกีตาร์ที่มีแนวทางต่างกันแต่มีแนวคิดที่ค่อนข้างไปทางเดียวกัน ถ้าใครได้ฟัง หรือพอรู้จักวงนี้อยู่บ้าง จะทราบว่าซาวด์ของกีตาร์ทั้ง 2 คน จะต่างกันสิ้นเชิงเพราะในขณะที่ ปู๋เล่นซาวด์ ออกไปทางร็อค Vintage แต่ โฟร์ กลับเล่นกีตาร์โปร่ง โดยทั้ง 2 คนจะเล่นไปด้วยกัน แต่มันกลับกลมกลืนกันอย่างประหลาด การรับส่ง การปรับเอฟเฟ็กต์ต่างๆ หารเลือกซาวด์ในตัวเพลง ทำให้วง 25 Hours เป็นวงที่มีซาวด์ที่เฉพาะตัวมากๆ ในวงการเพลงบ้านเรา และด้วยความโดดเด่นในด้านซาวด์กีตาร์ที่น่าสนใจตรงนี้ทำให้แขกรับเชิญในคอลัมน์ปรับหน้าตู้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 2 มือกีตาร์ จอมสร้างสรรค์เสียง แห่ง 25 Hours นี่เอง
กีตาร์
โฟร์ : กีตาร์ที่ผมใช้เป็น Cole Clark Fat Lady 2 เจ้ากีตาร์ตัวนี้เป็นกีตาร์ที่มีเสียงกลางค่อนข้างเยอะ แต่อาจจะไม่ได้หนาพุ่งมากนัก ตัว Cole Clark ความโดดเด่นของเขาก็คือพวกตัว Pickup ภาคขยายต่างๆ มันจะมีไมค์ที่อยู่ในตัว ถ้าเวลาเราเคาะบอดี้ เราจะได้ยินเสียงชัดเลย ซึ่งเหมาะมากกับคนที่เล่นมีการเคาะแบบ Percussive แต่ว่าผมไม่ใช่สายเคาะ เป็นสายแคะ (หัวเราะ) ที่เลือกตัวนี้เพราะผมคิดว่าการเลือกกีตาร์โปร่งที่ต้องมาเล่นกับวงร็อคที่มี Output ดัง กีตาร์ของเราก็ต้องมี Output ที่สู้ได้ด้วย คืออัลบั้มแรกๆ เราลองมาหมดแล้ว ใช้ Pickup ที่มันอยู่ใต้ Saddle ซึ่งให้ความเป็นธรรมชาติ ใช้ LR Baggs ปรับแล้วเสียงเพราะมาก แต่พอมาเล่นกับวงมันในสภาวะที่ มอนิเตอร์อยู่เต็มเวที หมามาเต็ม หอน (หัวเราะ) เราก็ทดลองจนใช้พวก Pickup แบบ Magnetic ก็ไม่ได้ บางครั้งก็แหลมไป จนผมไปเห็น Jack Johnson ก็เห็นเขาใช้ Cole Clark ก็เริ่มดูว่าเจ้านี่ระบบ อะไรเป็นยังไง ผมลองจนผมรู้สึกว่ากีตาร์โปร่งไฟฟ้าแบบนี้ควรจะมี Pickup ในตัว คือถ้าเอา Pickup มาเซ็ตใส่เอง ในจะมีความไม่เท่ากัน บางทีเล่นไปแล้วดังเบาไม่เท่ากัน จนมาเจอ Cole Clark ที่มาพร้อม Pickup ที่เขาเซ็ตมาแล้วก็แฮปปี้เลย ตัดปัญหา Feedback ด้วย เอาจริงๆ แล้วผมลองตัวนี้ที่ร้าน Inter Music อยู่นานมากจน รู้สึกว่าโอเค ตั้งแต่ใช้มาไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลย ความบาลานซ์ของแต่ละสายดีมาก ชัดเจน สะอาด ส่วนสายกีตาร์ผมใช้เบอร์ 12 ของ Elixir ซึ่งมันยืดอายุการใช้งานได้มากทีเดียว ส่วนอีกตัวเป็นกีตาร์ 12 สาย ซึ่งไม่ใช่ตัวที่ผมเล่นในเพลงเที่ยงตืนสิบห้านาทีนะ ตัวนั้นมันมีปัญหาเรื่อง Intonation ให้พี่โจนดูแกบอกไม่ไหว คราวนี้เพื่อนผมคือ คุณ พีท กีตาร์ไทย เขาไปเวียดนามบ่อย ที่นั่นเขามีช่างทำกีตาร์อยู่ เป็นแบบ Custom Made เลยฝากเค้าซื้อมา ซึ่งมันดีมากเลย ทัชชิ่งอะไรก็เล่นง่าย ด้วยความที่ผมว่า เขาทำให้คนเอเซียเล่นด้วยแหล่ะ เลยเล่นง่าย ใส่ Pickup ก็เสียงดี ส่วนปิ๊คผมใช้ 0.75 ส่วนสายแจ็คนี่ผม ขอพรีเซนต์เลย ยี่ห้อ Alien Blue ของพี่โต้ง ซาวด์เอ็นจิเนียร์ ของเราเอง สโลแกน คือเสียงดี เสียงอย่างเวิรลด์ (หัวเราะ)
ปู๋ : ตัวของผมเป็นกีตาร์ Gretsch ตัวนี้ผมไปปิ๊งตอยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น เดินเข้าไปในร้านกีตาร์แบบตัวนี้สีสวยมากมีความ George Harrison มีความ Vintage มาก ไม่แน่ใจเรื่องรุ่น ตัวนี้เป็นมือ 2 ความพิเศษของมันคือ มันสามารถ Cut High ได้ แล้วก็มี Killer Switch ด้วย ไม่ใช่หรอกครับ ผมรู้สึกว่าปุ่มปรับมันพัง (หัวเราะ) ที่ผมเลือกตัวนี้ก็เพราะว่าตอนที่เราจะตัดสินใจทำอัลบั้มนี้ ตอนที่กำลังอัด โฟร์อยู่เมืองไทย แล้วก็ทำงานกับพี่อ๊อฟ บิ๊กแอส โฟร์ถ่ายรูปมาเราก็เห็นพี่อ๊อฟ ใช้ Gretsch ก็เลยซื้อมาซึ่งเอาไว้ใช้กับอัลบั้มนี้ด้วยนะ ผมเลยมีกีตาร์หลายตัวตอนไปทัวร์ (หัวเราะ) เพราะ Gretsch ซาวด์มันจะ Vintage เป็นแบบ ร็อคแอนด์โรลเก่าๆ แล้วเอามาเล่นเฉพาะ Single Note เล่นคอร์ดแบบ Power Chord แรงๆ เอาไม่ค่อยอยู่ แล้วก็มี Bigsby เอาไว้โยกนิดหน่อย ซาวด์แบบจะทู่ๆ หน่อย เล่นตัวนี้ผมใช้ Pickup ตัว Bridge ตลอด ตัวนี้ผมจะใช้เฉพาะกับเซ็ตเพลงชุดใหม่ ส่วนกีตาร์หลักๆ จริงๆ จะเป็น Gibson Reissue 68 ตัวนี้เป็นสีขาว ตอนนี้เหลืองไปแล้ว (หัวเราะ) ตอนที่ซื้อตัวนี้ครั้งแรกก็เพราะอยากได้กีตาร์ที่มันคุมวงอยู่ ให้หนาๆ ส่วน Tele ของผมนี่เป็นแบบ Limited ด้วย ซึ่งเสียงมันจะแข็งๆ หนาๆ หน่อย ไม่เหมือน Tele ปกติ ใช้เพลงเดียว ในเพลงแรงโน้มถ่วง เอาง่ายๆ เลยครับผมจะใช้ Gibson เป็นหลัก ส่วน Gretsch เอาไว้เล่นกับอัลบั้มชุดใหม่
Effect Amp
โฟร์ : สำหรับผมมีวิธีคิดว่า กีตาร์โปร่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างเพียวอยู่แล้วก็เลยใช้ให้น้อยที่สุด ดังนั้นวิธีการต่อก็จะไม่ซับซ้อน หลักๆ ที่ผมใช้คือ LR Baggs Venue Full Isolation D.I.ข้อดีของตัวนี้ ถ้าเป็น D.I. ปกติมันจะแค่เสียบเข้าไป ออกเลย แต่ตัวนี้มีภาค EQ และพวก Notch เอาไว้ควบคุม Feedback ซึ่งจะช่วยได้ ซึ่งตรงนี้ จริงๆ กับตัว D.I. ผมก็แทบไม่ได้ไปยุ่งกับตัวนี้เลยนะ เพราะ Cole Clark ก็ตัดได้ประมาณนึงอยู่แล้ว ผมว่ามันคงช่วยตัดย่าน สัญญาณเวลาเกิด Feedback บนเวที ที่สำคัญอีกอย่างคือการตั้งสาย เพราะกีตาร์โปร่งเวลาอยู่บนเวที Output มันจะเบา แล้วเวลาเอากีตาร์โปร่งไปเสียบกับ Tuner กีตาร์ไฟฟ้ามันก็จะไม่ขึ้น ซึ่งเจ้า LR Baggs ตัวนี้มันแปลกมาตรงที่ Tuner มันค่อนข้างไว และอีกอย่างมันเป็น D.I. ที่มีภาค Send Return ด้วย เผื่อเราอยากใช้พวก Delay หรือ Reverb ก็ใช้ได้เลยครับ ถัดมาเป็นอะไรที่นอกรีตมากๆ เจ้าตัวนี้คือ Pro Tone เป็น Fuzz ผมใช้ในเพลงบางเพลง ผมจะใช้เวลาเล่นคู่กับกีตาร์ไฟฟ้า ให้ได้ Layer บางอย่าง ฟังเดี่ยวๆ นี่มันจะไม่ดีหรอก แต่ที่ผมใช้ก็เพราะอยากได้ย่าน Hi ที่บางทีกีตาร์ปกติมันทำให้ไม่ได้ พอใช้ตัวนี้ก็จะโผล่เลย อย่างในเพลง คิดเหมือนกันหรือเปล่า ผมจะใช้ตรงที่ปู๋จะโซโล่ ซึ่งมันจะทำให้เสียงย่านแหลมโผล่ แล้วจะฟังดูเหมือนเสียง ซินธ์ฯ ใช้เพลง 2 เพลง แต่ราคานี่เกิน 2 เพลงแน่นอน (หัวเราะ) ส่วนตัวจ่ายไฟนี่เป็นของปู๋ ฮะ (หัวเราะ) ก็ช่วยให้สัญญาณเสถียรมากขึ้น เมื่อก่อนผมจะมีแอมป์ AER แต่ตอนหลังผมชอบเสียงแบบนี้มากกว่า จะยกแอมป์ไปกรณีเล่นในร้าน แล้วอยากให้คนดูข้างหน้าได้ยินเสียงบ้าง ไม่งั้นเขาจะงงว่าผมร่ายรำอะไรบนเวที (หัวเราะ)
ปู๋ : ตัวหลักๆ ของผมจะเป็น Axe 8 ก็จะใช้แทนตู้แอมป์ รวมถึง Cab ต่างๆ ผมจะปรับในคอมฯ ก่อน ก็หาซาวด์ที่ชอบเป็นเดือนๆ ค่าของมันละเอียดมาก ทั้งตั้งค่าเหลี่ยมไมค์ Pre Amp ไดนามิก คือผมจะตั้งค่าต่างๆ เป็นเพลงๆ ไปเลย ก็ก่อนจะเอาไปเล่นก็จะซ้อม กับซาวด์ ด้วย เพราะไหนๆ เราก็จะเอาแอมป์ออกไปแล้วก็ต้องให้มันแทนที่ได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นก็จะเสียเวลาปรับนานหน่อยครับ อัดเพลงในอัลบั้มเร็วกว่าผมปรับเอฟเฟ็กต์อีก (หัวเราะ) คราวนี้พวกตัวอื่น อย่าง Boss 63 Fender Reverb ผมจะใช้ในเพลงใหม่ ฟ้าเป็นใจ เราต้องการคาแร็กเตอร์ Reverb แบบ Spring Reverb แต่มันไม่ค่อยออก เลยต้องใส่ Slapback Delay เข้าไป ส่วน Boss DD-500 ก็จะใช้ปรับในส่วนของ Delay โดยตั้งเป็น โน้ตตัวดำ กับ ดอต ไว้เลย ถามว่าทำไม เราไม่ใช้เสียงแบบนี้ใน Axe คือ คาแร็กเตอร์ไม่เหมือนกันครับ เราอยากเสียงแบบนี้มากกว่า คราวนี้อีกตัวคือ EBS Fuzzmo ซึ่งเป็นเอฟเฟ็กต์ของเบส คือ ผมพยายามหาใน Axe แต่ไม่ได้คาแร็กเตอร์นี้ ผมใช้ในเพลง Lady ซึ่งเป็นเสียงที่ซาวด์ฯ เราเกลียดมาก คือเวลาวงเราใช้ Fuzz ก็เพื่อต้องการย่านเสียงให้มันอยู่บนๆ ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกับ โฟร์เลย ตอนเราใช้ตัวนี้เราตั้งใจว่า จะหาเสียง ที่ “หงี่” ที่สุด ซึ่งก็มาเจอตัวนี้ แล้วก็อีกตัวนึงก็เป็น Foot Volume ของ Boss ซึ่งผมเอามาไว้ใช้คุมเสียง Whammy ในท่อนโซโล่ แต่ใช่แค่ท่อนเดียว วงเราลงทุนกับเสียงเล็กๆ น้อยๆ มากครับ (หัวเราะ) ส่วนที่สำคัญมากคือตัวจ่ายไฟ ตัวนี้เป็น Custom Audio Electronics ผมเคยพิสูจน์มาแล้ว และก็บอกเลยว่าการมีตัวจ่ายไฟจะช่วนเรื่องสัญญาณกีตาร์คุณได้จริงๆ
Tips
วง 25 Hours เป็นวงที่ละเอียดเรื่องย่านเสียงมาก ทำไมเราควรจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ครับ
โฟร์ : จริงๆ แล้วดนตรีมันมีเรื่องของ Frequency ย่าน สูง กลาง ต่ำ บางทีเราต้องความเข้าใจนิดนึงว่า โอเค เราอาจจะเล่นกีตาร์ เล่นในวง แล้วรู้สึกว่ากีตาร์เราเปิดดังจังเลย จริงๆ แล้วที่เราเปิดดังไปเพราะบางครั้งย่านเสียงมันไปทับกัน คุณอาจจะปรับย่านกีตาร์ไปทับกับเบส คราวนี้เสียงก็ไม่โผล่ ก็ต้องไปเร่ง Volume ก็จะไปกันใหญ่ดังนั้นเราต้องมาเรียนรู้ว่าเสียงไหน ย่านไหนที่จะไม่ทับกัน ต้องเข้าใจว่าเบสควรอยู่ตรงนี้ กระเดื่องอยู่ตรงนี้ กีตาร์อยู่ตรงนี้ จะทำให้เวลาเล่นกับวงกีตาร์จะได้ยินตลอดเวลา และไม่กวนวงด้วย ลองทำความเข้าใจตรงนี้จะช่วยได้เยอะครับ