The New Hero
5-6 ปีที่ผ่านมานี้วงการกีตาร์ฮีโร่แม้ว่าจะไม่ได้คึกคักเหมือนเช่นในอดีต แต่ก็ไม่ได้ถึงกับล้มหายตายจาก ยังคงมีมือกีตาร์เก่งๆ โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งในจำนวนนั้นมีวงดนตรีในสไตล์เพลงบรรเลงที่ใช้กีตาร์เป็นตัวนำโผล่ขึ้นมาในเวลาใกล้ๆ กัน 2 วง วงแรกชื่อว่า Polyphia นี่เป็นหนึ่งในวงที่เป็นตัวจักรสำคัญให้เด็กรุ่นใหม่หันมาเล่นกีตาร์การฉีกกฎเดิมๆ ทั้งแนวทางและภาพลักษณ์ทำไมมือกีตาร์ต้องผมยาว ยีนส์ หนัง ต้องใช้จังหวะ ซาวด์แบบ เฮฟวี่ หรือเมทัลหนักๆ Polyphia ใช้วิธีการทำงานในแบบเพลง ป๊อป อีดีเอ็ม ฮิปฮอป กับไลน์กีตาร์แบบกีตาร์ฮีโร่ จนเป็นที่นิยมและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับแฟนกีตาร์ทั่วโลก อีกวงที่ทำในลักษณะเดียวกันแต่มีความซับซ้อน ความล่องลอยมากกว่า อย่าง Chon ก็เป็นอีกวงที่ขึ้นมาเป็นขวัญใจบรรดาเหล่ากีตาร์ฮีโร่ยุคใหม่เช่นกัน 2 วงนี้เป็น 2 วงที่มีแฟนๆ กีตาร์ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน
New Culture
จริงๆ ในวัฒณธรรมดนตรีร็อคที่ผ่านมาการที่นักดนตรีต่างวงมา feat กัน เป็นเรื่องที่อาจจะค่อนข้างแปลก ดนตรีร็อคหรือกีตาร์ฮีโร่จะมีความเป็นปัจเจกมากพอสมควร แต่ก็เป็น Polyphia อีกเช่นกันที่พวกเขาคิดว่าถ้าเอาวัฒนธรรมการ feat มาใช้ในแนวทางแบบกีตาร์ฮีโร่คงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ แล้วมันก็น่าสนใจจริงๆ Polyphia หยิบยกสิ่งนี้ขึ้นมาใช้ทำให้งานของพวกเขามีมือกีตาร์เก่งๆ ยุคใหม่มาแจมด้วยอยู่บ่อยๆ ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นและเป็นเพลงที่แจมกับวง Chon ซะด้วย เป็นเพลงที่น่าสนใจมากจนต้องนำมาให้ได้เล่นกัน
ที่มา (Pic : Pic New Level New Devils)
- เพลงนี้ ชื่อว่า Yas อยู่ในอัลบั้ม New Level New Devils
- ได้ Mario Camarena กับ Erick Hansel มา feat ด้วย
- อัลบั้มนี้ออกในปี 2018
- นอกจาก 2 คนนี้ยังมี Jason Richardson กลับมาอีกครั้ง และมือกีตาร์ที่มาแรงมากๆ อย่าง Mateus Asato มา feat ด้วย
- รวมถึงการได้ 2 มือกีตาร์ชาวญี่ปุ่นอย่าง Ichika และสาวน้อยนักจิ้มอย่าง Yvette Young มาร่วมงานด้วย
About : Polyphia
- มือกีตาร์ทั้ง 4 คนในเพลงนี้มีกีตาร์ Ibanez Signature ของตัวเองทุกคน
- Tim เป็นคนที่เวลาโชว์ถ้าอะไรไม่พร้อมเขาจะค่อนข้างจะไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ
- ทุกคนเรียก Clay Gober มือเบสว่าเป็นนักร้องของวง ด้วยความเรื้อนสุดๆ ของหมอนี่
- และแน่นอนวงนี้เคยเป็นวงที่มีนักร้องจริงๆ มาก่อน
- Polyphia เป็นวงที่มีความเกรียนอยู่ในระดับสูงเช่นแคปชั่นใน IG ของวงที่บอกว่า วงเราไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เป็นวง Metal ที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งหาตัวคนโพสต์แบบนี้ในวงไม่ยากหรอก
Play
คราวนี้เราจะมาเริ่มทำการวิเคราะห์เพลงนี้กัน เพลงนี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ คือพาร์ทที่ Tim กับ Scott เล่น จะเป็นช่วงแรกที่เป็นเหมือนท่อนหลักของเพลง ที่ทั้ง 2 คนเล่นพร้อมกัน กับเมโลดี้ที่เป็นช่วงที่ทั้ง 2 คน เล่นแยกกัน เราจะได้เห็นความแตกตต่างในวิธีเล่นของทั้งคู่ และช่วงหลังที่เป็น Mario กับ Erick โดยที่เป็น Solo อย่างเดียวซึ่งเพลงนี้จะเล่นในคีย์ E Major ความเร็ว 145 ซึ่งค่อนข้างยากและมีเทคนิคมากมายทีเดียว
Intro จะเป็นการเล่น คอร์ดผสม Melody และผสมท่อน Lick โดยช่วงแรกจะเล่นเป็นคอร์ดกับเมโลดี้ผสมสายเปิดซึ่งตรงนี้จะเล่นทั้งคอร์ดและเมโลดี้ผสมกัน จากนั้นจะมีการเล่น Percussive Sound ใน 16th Note ผสมกับการกดคอร์ด Amaj7 และ G# ในรูปแบบ Triple Stop ในท่อนแรกนี้จะมีการแทรกเทคนิคไว้ค่อนข้างเยอะเช่น Tapping หรือแม้แต่การ Tap Harmonic รวมถึงการดันสายแบบดันแล้วคลาย จบด้วยเมโลดี้แบบ Octave
เราจะได้อะไร :
- วิธีการเล่นแบบผสมสายเปิด เสน่ห์ของกีตาร์ก็คือพอเล่นเมโลดี้ที่มีสายเปิดค้างไว้ หรือเล่นตัวคอร์ดค้างไว้ จะทำให้เมโลดี้เหล่านั้นน่าสนใจขึ้น ซึ่งกีตาร์เป็นเครื่องมือที่สามารถให้โทนเสียงที่น่าสนใจแบบนั้นได้
- การเล่น Lick ยากๆ อย่างการ Tapping บนจังหวะที่เร็วและต่อเนื่องรวมถึงโน้ตที่กระโดดข้ามไป ข้ามมา จะค่อนข้างยากในการเล่นพอสมควร ถ้าจะรักษา Timing ในตัวเพลงให้มั่นคง
- เราจะได้เรียนรู้วิธีการเล่น Percussive Sound ทั้งการกด และการปล่อยโน้ต บนจังหวะแบบ 16th Note
ในส่วนนี้เป็นารเล่นแยกกันของ Tim และ Scott โดยจะเริ่มที่ Scott ก่อน โดยที่ Scott จะเล่นเป็นลักษณะแบบ “Guitar Rhythm” เป็นหลัก เขาจะเล่นพวกเมโลดี้ที่เป็นลักษณะแบบขั้นคู่ Triple Stop หรือพวกโน้ตเสียงค้างต่างๆ ส่วนของ Tim จะใช้เทคนิคที่หวือหวากว่า เช่นการ Tapping หรือการคิด Line ที่เล่นด้วย Lick ที่มีความเร็ว จะฟังดูหวือหวากว่า Scott พอสมควร
เราจะได้อะไร :
- ให้ลองสังเกตการเล่นของทั้งคู่ เราจะสามารถเรียนรู้วิธีการเล่นอย่างไรที่จะเกาะ Rhythm ให้ดูน่าสนใจ กับวิธีการที่เราจะเล่น Lick ต่างๆ ให้ยังอยู่ในความเป็นเพลงแม้จะใช้เทคนิคขั้นสูงในการเล่นก็ตาม
- วิธีที่ Scott เล่นเขาจะขยายความน่าสนใจของเสียงจาก Riff หลัก เช่นการเพิ่มขั้นคู่ เป็นเมโลดี้สไลด์โดยที่ไม่ออกจากโน้ตหลักในคอร์ดมากนัก
- ในขณะที่ของ Tim จะเล่นเป็น Lick แบบมือกีตาร์โซโล่เลย อย่างเช่น ท่อนเปิดที่เป็น Tapping Slide หรือท่อนท้ายที่เล่นเป็น Lick เร็วๆ ในการส่งเข้าท่อนถัดไปทั้งนี้ เราสามารถศึกษาวิธีการแบบเล่น Rhythm สลับกับ Solo ได้จากการเล่นท่อนนี้ของ Tim
ตรงนี้จะเป็นการเล่นของ Chon ซึ่งจะเปลี่ยนคอร์ดไปเป็นอีกชุดนึง เริ่มจากทั้งคู่จะเล่นสลับกันก่อน จากนั้นจะแยกกัน โดยการเล่นของทั้งคู่ก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน เริ่มที่ Mario การเล่นของเขาจะอิงเกาะอยู่กับ Arpeggio เป็นส่วนใหญ่ โดยผสมเทคนิคอย่างการจิ้ม 2 นิ้วเข้าไปด้วย การเล่นของ Mario จะดูมีเสียงแบบ Tension มากกว่า ส่วนของ Eric จะเน้นเป็นไลน์แบบ Lick ที่ค่อนข้างเป็นโน้ตตรงๆ อย่าง Pentatonic Lick แบบ ซ้ำโน้ตความซับซ้อนของ Tension จะน้อยกว่าของ Mario รวมถึงเขาจะเล่นด้วยได้นามิกที่เป็นร็อคมากกว่า ลองสังเกตการเล่นของทั้ง 2 คนในท่อนนี้ดีๆ
เราจะได้อะไร :
- จริงๆ ในการโซโล่ของทั้งคู่ จะเป็นการเล่นด้วยคอนเซ็ปต์คล้ายๆ กันนั่นคือเล่นพวก Tension บนทางคอร์ดหลักๆ แต่ลองดูวิธีการที่ทั้ง 2 คนใช้จะเห็นว่าต่างกัน
- ในการเล่นของ Mario จะเล่นโดยการอิง Arpeggio มากกว่า และไดนามิกในการเล่นจะไม่แรงเท่า Eric ถ้าสังเกตดีๆ ซาวด์ และน้ำหนักของ Mario จะมีความลอยและการดีดเบามากกว่า Line ของ Erick
- ในขณะที่ซาวด์ ละ Lick ที่ Erick เล่นจะมีความพุ่งมากกว่า ไดนามิกในการดีด ความแรงของน้ำหนักโน้ตจะฟังดูแรงกว่าของ Mario แต่โน้ตที่ใช้จะตรงกว่า เป็น Line Pentatonic แบบถ่างโน้ตในน้ำหนักที่เท่ากัน
- ให้ลองสังเกตภาพรวมการเล่นของทั้ง 4 คนให้ดี เราจะเห็นว่าเพลงนี้เพลงเดียวแม้คอนเซ็ปต์จะคล้ายๆ กัน แต่มีการเล่น 4 สไตล์เลยทีเดียว