ประสบการณ์ทำให้คนแข็งแกร่ง การที่ได้ลงมือทำ การไขว่คว้าโอกาสเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หลายคนกลัวว่าตัวเองไม่พร้อมจึงไม่กล้าที่จะคว้าโอกาสนั้นๆ แต่คงไม่ใช่กับ “ประทีป สิริอิสสระนันท์” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ โฟร์ 25 hours มือกีตาร์ของวงที่หมวกอีกหนึ่งใบของเขาก็คือคนที่ทำงานเบื้องหลังในฐานะโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินมากมาย ถ้าใครได้ลองติดตามผลงานของโฟร์อยู่บ้างจะรู้ว่าโฟร์จะเป็นคนที่เริ่มงานในสายโปรดักชั่นค่อนข้างเร็วและทำงานเพลงในแบบที่ห่างไกลจากวง 25 hours เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นงานของ Kamikaze หรือ MBO หรือแม้แต่งานของวงอย่าง Yes’Sir Days ดังนั้นเรื่องราวการทำงาน และวิธีคิดของโฟร์ก็น่าสนใจไม่น้อย เราลองมาพูดคุยกับเขาในเรื่องราวต่างๆ กับการเก็บค่าประสบการณ์ในงานที่ผ่านๆ มากันดีกว่า
การทำงานในสายโปรดักชั่นของโฟร์เริ่มเร็วมาก
โฟร์ : ใช่ครับ ผมเริ่มตั้งแต่ตอนที่เรียน มหิดล ตั้งแต่มัธยมเลยนะ ผมรวมวงกับพี่บังตั้งแต่ ม.6 พี่บังแกก็เรียนมหิดล แล้วเราก็ทำเดโม่ ทำเพลงเหมือนวงดนตรีปกติครับ แต่บังเอิญว่าน้าของพี่บัง คือน้าตุ่น พนเทพ สุวรรณะบุณย์ เราก็คิดกันว่าทำเพลงให้น้าตุ่นดีกว่า เผื่อจะมีช่องทางอะไร ซึ่งเพลงก็ไม่ได้ดีอะไรหรอกครับ เพลงไม่ผ่าน แต่น้าตุ่นเขาได้ฟัง ก็ถามพี่บังว่าใครเล่นกีตาร์ ผมเลยได้โอกาสเริ่มไปอัดเสียง ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มรับงานสายโปรดักชั่นเลย จากนั้นก็จะเป็นงานอย่างพวกแบ็คอัพ อย่าง ลานนา คัมมินส์, แคล แล้วก็มีเป๊ก ผลิตโชค นิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มาจากทางพี่บังกับน้าตุ่น

ตอนแรกเรียนรู้อะไรใหม่บ้าง
โฟร์ : ทุกอย่าง ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโปรดักชั่นนี้ คืออาจจะเป็นเพราะยุคนั้นผมเป็นคนแรกๆ ที่อัดไฟล์จากที่บ้านไปส่งได้ด้วยมั้ง (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นซาวด์มันง่อยมากนะ (หัวเราะ) แล้วยุคนั้นยังส่งอีเมล์ไม่ได้ บ้านผมอยู่พุทธมณฑลสาย 2 ผมต้องนั่งรถไปส่งงานที่นานา ห้องปีเตอร์แพน เรียนมหิดล กลับบ้านสาย 2 นั่งรถไฟฟ้าไปส่งงานที่ นานา (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเวลาไปส่งงานผมจะถามทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ พยายามเรียนรู้จากซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่นั่นว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็เรียนรู้อยู่นาน รวมถึงอัดเสียง ก็ทำอยู่ปีสองปีกว่าจะได้ขยับมาทำเพลง
แล้วเริ่มขยับมาสายทำเพลง-โปรดิวเซอร์ได้ยังไง
โฟร์ : ตอนที่ผมอัดเสียง เวลาผมเอางานไปส่ง เราจะเห็นเขามีการอัดเสียงนักร้อง ผมจะนั่งดูอยู่จนดึกเลยนะดูว่าเขาทำอะไรบ้าง จำได้มีอยู่งานนึงอัดเสียง ลานนา แล้วมี นิว-จิ๋ว พี่หนึ่ง ETC. แล้วในห้องจะมี Vocal Director เราก็เฮ้ย! มีตำแหน่งนี้ด้วยเหรอวะ แล้วโปรดิวเซอร์ก็จะอยู่ในห้องฟังทั้ง 10 เพลง เราได้เริ่มเห็นจากตรงนั้น ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มความฝันที่อยากจะเป็นโปรดิวเซอร์ ไม่อยากจะเป็นศิลปินแล้ว ตัดศิลปินออกไปเลย ตอนนั้นอาชีพโปรดิวเซอร์ มันน่าสนใจ มันสนุกแล้วได้เงินด้วย มันอยู่ได้ ประกอบกับวงที่ทำตอนนั้นไม่เป็นชิ้นเป็นอัน คือมันไม่มีนักร้อง ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้เลยว่าวงดนตรีวงนึงการมีนักร้องดีๆ มันสำคัญ มันหายาก เลยเบนเข็มมาทางนี้เต็มตัว

งานแรกในฐานะ โปรดิวเซอร์
โฟร์ : ต้องบอกว่าพี่บังมีน้าอยู่ 2 คน ก็คือน้าตุ่นอยู่ฝั่งแกรมมี่ และอีกคนคือน้าติ๊ก เทพนม สุวรรณะบุณย์ อยู่ที่อาร์เอส ซึ่งแกก็เป็นคนที่แต่งเพลงให้ Raptor คือเป็นรุ่นใหญ่เลย คราวนี้ที่ตอนแรกผมบอกว่าผมส่งเพลงให้น้าตุ่นไม่ผ่าน พวกผมก็มาส่งให้น้าติ๊กด้วย (หัวเราะ) แต่ที่ต่างกันคือตอนนั้นน้าติ๊ก แกค่อนข้างรุ่นใหญ่แล้ว คนที่ทำงานด้วยก็มีอย่างพี่บั๋ง สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา, พี่เกี้ย อนุชา อรรจนาวัฒน์ พี่ๆ เขาเกรงใจน้าติ๊ก ผมรู้เลย ก็เลยรับพวกผมเข้าทีมทำเพลงมาแบบเสียไม่ได้ (หัวเราะ) ช่วงแรกๆ น้าติ๊กก็ให้ผมอัดเสียงเหมือนเดิม อย่างเพลงพี่ปาน ธนพร ผมก็อัดเยอะเลยนะ จนกระทั่งมีวงชื่อวง Sunshine พี่ๆ เลยลองโยนงานมาให้เราทำ ตอนนั้นผมเริ่มเรียกปู๋ (มือกีตาร์ 25hours) มาช่วยทำงานแล้ว อันนี้แหละคืองานแรกที่ผมทำในฐานะโปรดิวเซอร์ ซึ่งโชคดีที่วงน้องๆ คุยง่าย ด้วยความที่เป็นวงก็เลยพอจะทำอะไรได้ง่ายหน่อย ช่วงนั้นผมก็ทำเนียนๆ นิ่งๆ เหมือนรู้แต่จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลังนะ กรอบความคิดอะไรก็ไม่มี (หัวเราะ)
จนมาถึง Kamikaze
โฟร์ : Kamikaze ยุคแรกๆ ที่พี่เอฟู (ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์) กำลังจะทำ ตอนนั้นยังไม่มีทีม ก็เลยเกณฑ์คนมาช่วยงานซึ่งเริ่มจากพี่ดอดจ์ (โบกี้ ดอดจ์) ซึ่งพี่ดอดจ์เป็นรุ่นพี่ผมที่มหิดล ก็เลยชวนมาอยู่ด้วย ทำให้เราได้เข้าทำงานร่วมกับพี่เอฟู ก็เริ่มมีส่วนกับงานของพวก K-Otic, เฟย์ ฟาง แก้ว อะไรแถวๆ นี้ จนได้มาเริ่มทำเต็มๆ กับช่วงที่ทำ “ทรีทูวัน”
ตอนทำงานกับ Kamikaze เป็นยังไงบ้าง
โฟร์ : ผมโดนด่าเละเลยนะ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ช่วง Kamikaze กับผมมีเส้นทางที่ไม่สวยงามสักเท่าไหร่ มันเริ่มจากวิธีการทำงานในยุคนั้น สมมติเราจะทำทีนไอดอล เราจะตั้งเป็นโมเดลตุ๊กตาขึ้นมา เช่นจะทำคนนี้เป็น จัสติน ทิมเบอร์เลค เมืองไทย เราก็จะหาเพลงที่เป็นเรฟเฟอร์เรนซ์ตั้งขึ้นมาด้วย ซึ่งนั่นกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมา นั่นก็คือการถูกบอกว่า “ก็อปปี้” ทำไมถึงเกิดขึ้นเพราะเราไม่สามารถที่จะบาลานซ์ เรฟเฟอร์เรนซ์นั้นได้ ถ้าใครทำได้มันก็จะไม่ออกมาแย่ แต่ของผมทำไม่ได้ไงตอนนั้น เราตั้งเรฟเฟอร์เรนซ์แล้วบาลานซ์มันไม่ได้ ผมจำได้เลยว่าช่วงนั้น YouTube มาช่วงแรก เพลงที่ผมทำนี่จะโดนคอมเมนท์ด่าเยอะที่สุด แบบเหมือนเพลงนั้น เพลงนี้ อย่างผมทำเพลงของ K-Otic สมมติอัลบั้มนึงมี 5 เพลง เพลงผมโดนด่าเยอะที่สุด (หัวเราะ) ก็ต้องบอกว่ามันเจ็บปวดพอสมควรช่วงนั้น แต่ก็สอนอะไรผมได้เยอะเลย
จนเข้าที่ช่วง ทรีทูวัน
โฟร์ : ก็ยังไม่ค่อยได้นะ (หัวเราะ) ตอนแรกๆ ก็หวั่นๆ ว่าชาวร็อคอย่างผมจะทำฮิปฮอปได้ไหม แต่โชคดีที่ทรีทูวันตอนนั้น เต๋า (ทีเจ) ก็เริ่มทำเพลงเองอยู่แล้ว ตอนนั้นเต๋าอายุ 15 เอง ก็คือเป็นเด็กที่มีแววเลยล่ะ เขามุ่งมันอยากจะเป็นแบบ Eminem ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว รู้สึกจะทำเพลงมากับ “พายุ” (ศิลปินอีกคนหนึ่ง) มั้ง ช่วงนั้น ก็เลยคุยกันง่าย จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันอยู่ สิ่งที่ทีเจเก่งมากๆ ก็คือเรื่องซาวด์กลอง ทีเจนี่ไม่มีทฤษฏีดนตรีนะ ทุกวันนี้ยังถามผมเลยว่าเพลงนี้คีย์อะไร (หัวเราะ) ใช้งานผมอยู่เรื่อยๆ ยังมาอยู่ตลอดให้ผมอัดกีตาร์ให้ แล้วค่อยมาถามว่าคีย์อะไร (หัวเราะ) แต่เรื่องทำซาวด์กลองนี่สุดยอด แน่นมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

ในช่วงนั้น การทำงานกับรุ่นใหญ่ๆ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
โฟร์ : มีนะครับ แต่หลักๆ ก็เป็นปัญหาที่ตัวผมเองมากกว่า เรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ มันเหมือนเราว่ายน้ำไม่เป็นแล้วลงไปว่ายน้ำเลย มันก็ต้องตะเกียกตะกายสักหน่อย ผมก็เลยจะโดนด่า โดนอะไรเยอะ ก็อย่างที่บอกครับว่าช่วงนี้ผมนี่แผลเต็มตัวเลย (หัวเราะ)
ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนให้ทำวง 25 hours
โฟร์ : ไม่ๆ ไม่เกี่ยวครับ คือมันต้องย้อนกลับไปที่น้าตุ่น ตอนนั้นแกบอกผมว่าแกกำลังจะทำศิลปินอยู่คนนึงชื่อ “ไอ้แหลม” อยากให้ผมทำเพลงให้ หรือว่าโฟร์จะมาลองเจอก่อนมั้ยเผื่อทำวงกัน ตอนแรกผมยังคิดนะ ชื่อแหลม เหรอวะ จะรอดเหรอ (หัวเราะ) คือสมัยก่อนเทรนด์นักร้องต้องแบบหล่อๆ หน่อย แล้วแหลมไม่ใช่นักร้องแบบเทรนด์ยุคนั้นไง แต่ผมก็ไปเจอก่อน ก็ไม่ได้คิดว่าจะฝากผีฝากไข้ได้นะ เพราะผมก็ทำโปรดิวซ์ก็มีงานหลักแหล่งอยู่ แต่ไปคุยกันแล้วมันคลิก มันกลายเป็นไม่กดดัน คือผมอยากทำเพลงแบบไหน ผมทำเลย อะไรที่ผมทำกับเพลงค่ายไม่ได้ ผมมาใส่ตรงนี้หมด (หัวเราะ) แล้วแหลมดันเป็นคนที่พาเพลงเหล่านั้นไปได้ไกลขึ้นอีก จริงๆ ตอนทำวง เราทำเดโม่ไปส่ง Smallroom ด้วยนะ แต่สุดท้ายพี่รุ่งฟังเดโม่เราแล้วบอกให้ไปทำการบ้านมา พวกเราเอาจริงๆ ก็อีโก้แหละ เราก็ว่าเพลงเราดีอยู่แล้ว บังเอิญพี่เมื่อยโทรมาหาแหลม บอกว่างั้นมา Believe ต่อเลยมั้ยล่ะ ก็เลยลองไปดู จริงๆ พี่เมื่อยเนี่ยเป็นคนสำคัญในเรื่องนี้เลยนะ เป็นคนเปลี่ยนเกมเลย

ในระยะหลัง โฟร์ก็กลับมาโปรดิวซ์มากขึ้น
โฟร์ : ก็ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถครับ (หัวเราะ) ล้อเล่น ก็เป็นช่วงที่ทำอัลบั้ม Mom & Popshop กับพี่เจ มณฑล จิรา อยู่ๆ ไฟในตัวผมก็กลับมา เราไปเจอแกเหมือนเปิดโลก เลยเริ่มอยากกลับมาทำอีกครั้ง จนมาเจอพี่อ๊อฟ Big Ass แกซื้ออุปกรณ์ใหม่มา ซื้อโปรแกรมแถมของด้วย ก็ถามผมว่าเอาไหม พี่ซื้อแล้ว นต (getsunova) ซื้อแล้ว ผมก็ต้องซื้อแหละ (หัวเราะ) แล้วทีเจอีก มันก็บอกมันซื้อ Ableton Live มาแล้ว พอซื้อมาแล้วผมเปลี่ยนโปรแกรม คราวนี้ผมทำเพลงทุกวันเลย (หัวเราะ) มันสนุก เหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วพอพี่อ๊อฟได้ไปดู MBO ทั้งหมด เขาก็เลยชวนผมมาทำ ตอนแรกให้ทำเพลงของ เอ็มม่า แพม แต่เพลงที่ทำไปเหมาะกับจีน่ามากกว่า ก็เลยได้ทำเพลงแรกกับจีน่า จากนั้นก็ยาวเลย
จริงๆ MBO ก็คล้ายๆ Kamikaze นะ ตรงนี้ทำให้รู้สึกถึงปัญหาเก่าๆ หรือเปล่า
โฟร์ : มีครับ มันมีปมนึงคือผมกลายเป็นคนกลัวเด็ก สมัยก่อนผมไม่เก่ง แล้วเราจะรู้สึกว่าโดนเด็ก ดูถูกเรา เด็กอินเตอร์ คือเด็ก Kamikaze เป็นเด็กพิเศษ มันมีของ ฟังเพลงเยอะ ผมเคยมีแผลครั้งนึง ตอนที่ทำให้วงน้องๆ วงนึง เด็ก เดินมาพี่เอฟูบอกว่าเปลี่ยนซาวด์เพลงที่ผมทำหรือยัง อันเก่าฟังแล้วอยากร้องไห้เลย (หัวเราะ) แล้วผมนั่งอยู่ด้วย แต่เขาไม่รู้ว่าผมทำ ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมกลัวเด็ก จริงๆ ทำ MBO แรกๆ ก็เกร็ง แล้วก็แก้ไม่ได้ด้วยนะ แต่พอทำไปนานๆ ก็เริ่มโอเคขึ้น ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ประสบการณ์มากขึ้น เราโตขึ้น อุปกรณ์ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นโรคกลัวเด็กอยู่ดี (หัวเราะ)
วิธีขึ้นเพลงในงานของ MBO ต่างจากสมัยก่อนมั้ย
โฟร์ : จริงๆ คล้ายกันเลย แต่ตอนนี้ผมเริ่มตกตะกอนแล้ว ก็เลยมีความเป็นตัวเองมากขึ้นด้วย
ตอนนี้ชื่อของโฟร์ก็กลับมาเป็นโปรดิวเซอร์อีกรอบ
โฟร์ : คือผมแค่รู้สึกสนุก อยากทำเยอะๆ ผมไม่ได้สนใจชื่อเสียงผมแค่อยากทำ ผมก็เลยรับงานเพียบเลยคราวนี้ (หัวเราะ) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นป็อป เพราะเขาก็เห็นเพลงที่เราทำให้จีน่าก็เลยพอจะรู้ว่าเราเป็นสายเพลงสดใส

การทำผลงานที่ต้องอิงกับเทรนด์ยากง่าย ขนาดไหน
โฟร์ : ก็ยากนะครับ มันยากเพราะโลกยุคนี้มันหมุนเร็วมาก เด็กๆ วัยรุ่นยุคนี้เป็นคนขับเคลื่อนวงการ ไม่ใช่คนรุ่นเรา คนรุ่นเรามันเริ่มจะเอาท์เทรนด์แล้ว ถ้าเราเอารสนิยมของเราเป็นที่ตั้งไม่ได้ ไม่รอดแน่ เราต้องตามให้ได้ว่าเด็กฟังอะไร อย่างจีน่า เคยมาเปิดเพลงให้ฟังที่บ้าน เราเห็นการฟังเพลงของเด็กคือฟังปุ๊บ มันกรอไปตรงกลาง ไม่ฟังอินโทร ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แล้วฟังแค่ 1 นาที แล้วเปลี่ยนเพลงเลย มันทำให้เราจับยาก วิธีคิด เรื่องที่พูด ยิ่งคนทำเนื้อเพลงยิ่งยากกว่าพวกผมอีก
แล้วมีอะไรที่เราพอจะได้เปรียบเด็กๆ บ้างไหม
โฟร์ : ถ้าส่วนตัวก็เรื่องฮาร์โมนี่ผมน่าจะโอเคอยู่นะ เพราะผมฟังพวก Beatles ตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาคิดพวก เสียงประสานเราพอไหวอยู่ กับเรื่องแต่งเมโลดี้ อันนี้ก็พอได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องซาวด์ ถ้าผมรู้สึกไม่ไหว ผมส่งคนอื่นทำเลย อ่ะ!! ทีเจ ทำให้หน่อย (หัวเราะ) เราต้องตัดอีโก้ของเราออกไปให้หมด ไม่งั้นไม่ได้แน่
แต่ในที่สุดก็ได้มาทำร็อค กับ Yes’Sir Days
โฟร์ : ใช่ครับ ก็เป็นงานที่ผมสนุกมาก เพราะทุกคนในวงก็เป็นสายกีตาร์ฮีโร่หมดแม้กระทั่งอัทธ์ (นักร้อง) แล้วเขาก็อยากจะให้วงไปในอีกแบบ เป็นวงในยุคที่ 2 ซึ่งผมก็ถามพวกเขาแล้วนะว่าแน่ใจหรือเปล่า ไม่ใช่มาเสียดายความเป็นแบบเดิม ไปก็ไปให้สุด พอจุดหมายตรงกันคราวนี้มัน เลย (หัวเราะ) อย่างท่อน โซโล่ของบอม ในเพลงสตั๊น ผมก็ลองเอามาใส่โปรแกรม คือตอนแรกฟังแล้วธรรมดาไปหน่อย ก็เลยให้บอมอัดหลายๆ แบบ เอา Phase แต่ละ Phase มา Random ใหม่ ต่อกัน ให้ได้ซาวด์แบบนั้น ก็อยากให้คนฟังแล้ว ว้าว เลย ซึ่งก็เป็นอะไรที่สนุกมากๆ
ในงานที่ โฟร์ทำ จะเจอกับคำว่า T-Pop อยู่บ่อยๆ ในความเห็นของโฟร์ มันจะเกิดกระแสใหญ่ๆ ขึ้นได้มั๊ย
โฟร์ : มันจะได้ไม่ได้ มันอยู่ที่คนฟัง ไม่ได้อยู่ที่คนทำสักเท่าไหร่ ถ้าคนฟังเปิดมันก็ได้ คือตอนนี้มันมีนะแต่กลุ่มมันเล็ก โดยธรรมชาติเวลาคนฟังเพลง ฟังเพลงแก่กล้ามากขึ้นเขาจะไม่ฟังเพลงไทย ก็จะไปฟังเกาหลี ฟังอะไรแบบนี้ ซึ่งพอจุดนี้ มันก็สวิงกลับมาที่คนทำงานเพลงว่า เราก็ต้องทำเพลงให้มันมีคุณภาพ หรือเพลงที่เป็นสายโมเดิร์น อย่างงานของพวก NINO เขาก็จะไม่เรียกว่า T Pop ก็จะกลายเป็น ฮิปฮอป เอาเป็นว่า T Pop มันเป็นไปได้ครับ แต่เราอาจจะต้องให้คนที่ทำเพลงสายบอยแบนด์มีเยอะกว่านี้ ถ้าคนที่เก่งๆ มาทำสายบอยแบนด์เยอะๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้

ถ้าอย่างนั้น คำว่า T Pop ในความเห็นของ โฟร์ น่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน
โฟร์ : เอาจริงๆ ตอนนี้เราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเกาหลีแหล่ะ ผมว่าเพลงไทยต้องทำ คุณภาพเสียงให้ได้เท่าเกาหลีก่อน พอได้แล้ว เดี๋ยวลายเซ็นก็จะมาเอง ซึ่งนั่นอาจจะใช้เวลา 20 ปีเลยนะ คืออย่าง K Pop ตอนนี้มันดี จนกลายเป็นสไตล์ได้ มันดีเท่าฝรั่งแล้วดันมีลายเซ็นของมันด้วย ซึ่งจริงๆ กว่าที่เกาหลีจะมาได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลาเป็นสิบปี เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นผมว่าไทยเองก็ต้องใช้เวลาขนาดนั้น
คุณภาพเสียงที่โฟร์บอก ตอนนี้บ้านเราก็ดีขึ้นเยอะนะ
โฟร์ : เยอะขึ้น แต่ยังไม่เท่าครับ คือผมมีรุ่นน้องคนนึงที่ไปเรียนมา อาจารย์เขาไปแคปหน้าจอที่เพลงเกาหลีทำว่าใส่เอฟเฟ็กต์ ใส่อะไรบ้าง คือเกาหลีใส่เยอะมาก ใส่ในแบบที่เราจินตนาการไม่ออก อย่างเช่น Chain ของ Mastering ที่เขาใส่ท้ายโปรแกรมก่อนที่จะ Bounce มีเป็น 10-20 อัน ผมก็งง เฮ้ย! มันคืออะไรวะ เกาหลีเขาให้ฝรั่งมาทำเพลง แล้วก็เรียนรู้จากฝรั่ง แต่บ้านเรายังไม่ขนาดนั้น รายละเอียดเยอะมาก
คำถามนี่เป็นคำถามที่อาจจะดูพื้นฐานมาก “เพลงที่ดี” ต้องเป็นยังไง
โฟร์ : ผมเคยคุยกับพี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล พี่นิคเคยบอกว่า มันมี 2 แบบ คือเพลงที่โดนแต่ดีหรือเปล่าไม่รู้นะ กับเพลงที่ดีแต่ไม่ใช่เพลงที่ดัง คราวนี้เพลงที่ดีในมุมผมคือเพลงที่เรียบเรียงแบบมีชั้นเชิง มีไดนามิก มีทุกอย่างที่ดนตรีควรจะเป็นอยู่ในนั้นครบถ้วน ภาษา เนื้อเพลง สร้างสรรค์ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขอันนี้สำหรับผมคือเพลงที่ดี แต่เพลงที่โดนแบบเนื้อเพลงจะไปเอาเมียมึง แต่มันเป็นเพลงที่โดน เพราะฉะนั้นมันก็คนละอย่าง
ฝากถึงคนทำเพลง
โฟร์ : ผมไม่รู้จะฝากอะไรเพราะคนทำเพลงปัจจุบันเก่งๆ ทุกคน แต่ที่อยากจะฝากคืออย่าทำเพลงที่เป็นพิษต่อสังคม จริงๆ ผมไม่ชอบเพลงที่มันดูเป็นพิษนะ แบบด่านู่น ด่านี่ ผมรู้สึกว่าเพลงแบบนี้มันก็ฟังตลก สนุกดี แต่ระยะยาวมันไม่ดีหรอก มันไม่สร้างสรรค์ ลูกเรา หลานเรา ฟังกันทุกวัน ผมว่าทุกคนเก่งหมด เก่งมากๆ แต่ช่วยดูความรับผิดชอบสังคม อยากให้ทำเพลงที่เขารู้สึกว่าโตขึ้นแล้วเขาจะเป็นคนดี ผมว่าตรงนี้สำคัญที่สุด




































