ถ้าคุณเป็นคนชอบฟังเพลงไทยแล้วบอกว่าไม่เคยโตมากับค่าย genie records ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากๆ อยู่สักหน่อย ค่ายเพลงย่อยที่ยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจอยู่ในดินแดนเสียงดนตรีอย่าง Grammy ศิลปินและวัฒนธรรมแบบ genie ต้องอยู่ในช่วงชีวิตของคุณบ้างล่ะ คนที่เป็นเหมือนผู้นำของ genie ก็คือชายที่ชื่อว่า “นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล” แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เมื่อพี่นิค ได้ออกจาก Grammy สิ้นสุด Career ในวันนั้น
มาวันนี้ การเดินทางครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้น เมื่อพี่ นิค ได้ทำการก่อตั้ง Way-T Creation ขึ้นมา พร้อมกับโปรเจ็กต์แรกอย่าง The Way Artist Intern Camp พี่นิคกำลังจะทำอะไร จากนิค genie สู่นิค Way-T การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่ ประสบการณ์บนอุตสาหกรรมดนตรีอันยาวนาน ที่จะมาถ่ายทอดในบทสัมภาษณ์นี้น่าสนใจอย่างยิ่ง ขอแนะนำว่าลองอ่านกันดู แล้วอาจจะเห็นวงการดนตรีในทิศทางที่กว้างมากขึ้น
ความรู้สึกที่ได้กลับสู่วงการเพลงอีกครั้ง
นิค : มันก็ทั้ง 2 ความรู้สึกทั้งที่เราก็คุ้นเคยกับวงการ แต่พอกลับมาก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน เพราะการกลับมาครั้งนี้ก็ออกจากเซฟโซนเหมือนกัน นั่นก็คือการทำ Way-T Creation
Way-T Creation ในภาพรวมคืออะไร
นิค : มันต้องเริ่มจากนิยามของคำนี้ก่อน คำว่า Way-T ถ้าอ่านพ้องเสียง ก็คือ “เวที” มันคือ Stage หรือ Platform อันนี้นิยามนึง ในอีกนิยาม ภาษาอังกฤษ คำว่า Way แปลว่าเส้นทาง หนทาง หรือทางออก ไปผูกอะไรก็ได้ ความหมายคือ ไปทางนี้ ส่วน T ในความหมายแรกคือ Tee Off ที่หมายความถึงการเริ่มต้น เพราะฉะนั้นในที่นี้ Way-T จะเป็นที่เปิดโอกาสให้กับคนที่ฝักใฝ่ ในเรื่องของงานศิลปะโดยเฉพาะเพลงให้ได้มีโอกาสเริ่มต้น แต่เราไม่ได้มองเพลงเป็นแค่เพลง หรือ ศิลปินเป็นแค่ศิลปิน ภาพรวมเรามองว่าเป็น Soft Power เราตีความใหม่ให้เป็นแบบนี้ เอาแบบนี้ดีกว่า สิ่งที่เราทำมันใกล้เคียงกับ Artist Management ไม่ได้เป็นเชิงค่ายเพลง ดังนั้นด้วยวิธีคิดนี้ทำให้เราทำงานได้กับทุกคน โดยที่ไม่ต้องเป็นค่าย ความต่างมันอยู่ตรงนี้
ที่มาของการทำ Way-T Creation
นิค : ไอเดียนี้ผมเริ่มคิดมาตั้งแต่ช่วงปี 2557 หลังจากออกหนังสือ “ร็อค ฐ ศาสตร์” ในช่วงนั้นผมได้ถูกเชิญไปพูด และถูกเชิญไปเรียน ตามที่ต่างๆ ได้เห็นอะไรมากขึ้น มันมีคำนึงที่สะกิดใจคือคำว่า Startup ซึ่งตอนนั้นคำนี้มันใหม่มากนะ แล้วตอนเรียนที่ Class เขาให้ทดลองทำโปรเจ็กต์ ซึ่ง Way-T ก็เริ่มจุดประกายจากใน Class นั้น แนวคิดนี้มาแล้ว พอเวลาผ่านไป ผมก็เก็บไอเดียนี้ไส้อยู่ จนช่วงต้นๆ Covid ก็ได้ทำ Way-T 168 ทำคอนเสิร์ต คริสติน่า-เจ, บุรินทร์-เครสเซนโด้ แต่พอเจอโควิด เวฟ 2 ที่มันแรงมากๆ ก็ต้องหยุดไป แล้วผมก็ปิดบริษัทเลยนะ ล้มเลิกไปแล้ว จนเรากลับมาได้อีกครั้ง ในช่วงปีที่แล้ว พอทุกอย่างมันดีขึ้น จริงๆ ผมเกือบๆ จะออกวงการดนตรีแล้วไปทำอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ แต่พอรู้ว่าไปทำอย่างอื่นแล้วอาจจะไม่ค่อยถนัด ก็มาทำงานในวงการดนตรีดีกว่า แต่คราวนี้พอเราเริ่มตั้งหลักได้ ผมก็อยากจะทำสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอดคือการให้โอกาสกับเด็กรุ่นใหม่ เลยอยากจะเริ่มทำ Camp ที่พัฒนาเด็ก ที่อยากเป็นศิลปินอาชีพโดยเฉพาะเด็กมัธยม เราก็นำสิ่งที่เคยมีอยู่มาพัฒนาใหม่ในแบบของเราก็กลายเป็นโปรเจ็กต์ The Way Artist Intern Camp ขึ้นมา
The Way Artist Intern Camp
นิค : อันนี้ไม่ใช่งานประกวดนะครับ แต่เป็นการคัดเลือกวงที่มีความพร้อม ที่จะพัฒนาร่วมกับเรานะ Camp นี้ ซึ่งจะค่อนข้างดุเดือด ใช้เวลา 6 อาทิตย์ มีทั้ง Online และ Offline พวกเขาต้องมาอยู่ด้วยจริงๆ เป็นเวลาหลายวัน หลายคืน มีมิชชั่นที่ทำงานดุเดือด เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ประสบการณ์ ที่ไม่เคยได้ที่ไหนมาก่อน แนวทางของโปรเจ็กต์นี้คือสมัครแล้วเราจะคัด 30 วงมาออดิชั่น แล้วหาอีก 8 วง มาเข้า Camp แล้วพอผ่านการพัฒนา ก็จะมาโชว์ ซึ่งเราจะหาวงที่ “พัฒนาได้ดีที่สุด” ดังนั้นมันไม่ใช่การแข่งขัน เป็น “การโชว์ศักยภาพ” ซึ่งในงานนี้ เขาจะได้เรียนรู้ทุกเรื่องที่ศิลปินมืออาชีพต้องรู้ ไม่มากก็น้อย อย่างเรื่องการแต่งเพลง อันนี้ต้องเรียนรู้อยู่แล้ว แต่อย่างพวก Music Business, เรื่องการสร้าง Branding, Image Making ซึ่งพวกเขาจะได้เรียนรู้ ทั้งหมด ส่วนพี่เลี้ยงเราจะเรียกว่า Guide liner ก็มี “พี่โอม Cocktail” ที่จะมาให้ความรู้หลายๆ เรื่อง อย่างบางเรื่องเช่น กฎหมาย ลิขสิทธิ์ที่ควรจะต้องรู้ มี “แพท Klear” ที่เขาอยากทำ Class พัฒนาเด็กๆ มาก “จ๋าย ไททศมิตร” ที่มีความคิดดีๆ เยอะ “โอ แว่นใหญ่” ที่เรื่องการแต่งเพลงสุดยอดอยู่แล้ว ทั้งหมดจะมาช่วยน้องๆ แล้วมี “ครูโอ๋ Doobadoo” หรือโอ๋ ซีเปีย ซึ่งเขาทำ Class พัฒนาเด็กๆ มานานแล้ว ด้านการตัดสินเราจะใช้ระบบ “คณะลูกขุน” ซึ่งจะเป็นคนที่เป็นตัวแทนในการตัดสิน คือผมเป็นกรรมการตัดสินดนตรีมานาน เราเข้าใจความอึดอัดใจตรงนี้ เพราะชีวิตจริง เราตัดสินใครไม่ได้ เราจะจำลองคนดูมาให้เขา 20 คน ซึ่งในนั้นจะเป็นคนที่สนใจเรื่องเสียงเพลง มาตัดสิน ซึ่งพอเริ่มโครงการก็จะมีรายละเอียดมากขึ้น เราจะเริ่มรับสมัครตั้งแต่ 1 มีนาคม ไปจบที่เดือนสิงหาคม ซึ่งรางวัลรวมๆ แล้ว 2 ล้าน อันนี้รวมถึงค่าย Camp ต่างๆ ด้วยนะ 8 วง จะได้ประสบการณ์มากกว่าคุณค่าเงินรางวัล
ความคาดหวังเป้าหมายที่วางไว้
นิค : เราไม่อยากให้เหมือนเด็กมาล่ารางวัลตามเวทีประกวด เราอยากให้เขามาล่าความสำเร็จ ล่า Mindset ล่า ประสบการณ์ที่หาจากไหนไม่ได้ ณ เวทีนี้เขาจะได้เสมือนเป็นศิลปิน Intern ซึ่งแน่นอนต้องมีผลงานด้วย
ในส่วนของ Way-T Creation มีเป้าหมายในภาพรวมคืออะไร
นิค : ทุกคนก็คงหวังว่ามันจะเติบโต แต่ก็ยังทำด้วยฟิลลิ่งเดิม เพียงแต่นำสิ่งที่เรียนรู้มาใหม่เข้ามาใส่ ความตั้งใจยังเป็นอันเดิมที่เคยใช้ขับเคลื่อนในผลงานต่างๆ เพื่อให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีแผนเยอะเราจินตนาการว่าความสำเร็จต้องประมาณนี้ ที่เหลือก็ต้องลองทำไปก่อนเดี๋ยวก็จะเห็นหนทางเอง
นิค วิเชียร และวงการดนตรี
21 ปีกับ genie records
นิค : ก็คิดว่างานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา วันนึงก็ต้องมูฟออนจากตรงนี้ไป เพราะวันที่เราออกจาก Grammy ก็อายุ 61 แล้วนะ การแต่งตั้งพี่อ๊อฟ Big Ass ให้ดูแล genie การวางโอม Cocktail ให้ทำ GeneLab ก็ทำก่อนหน้าที่พี่จะออก ทุกอย่างวางแผนไว้ชัดเจน กลับกลายเป็นว่าผมต่างหากที่ไม่ได้วางแผนของตัวเองไว้ พอถึงเวลา เราเลยตัดสินใจมูฟออกมา แล้วเลขมันสวยด้วย เข้า Grammy มิถุนายนปี 2526 ออกจาก Grammy มิถุนายนปี 2562 (หัวเราะ) ผมก็ตกใจนิดๆ แต่พอเราออกมาก็เป็นที่ปรึกษาให้บริษัทอื่นบ้าง แล้วก็ทำหลายๆ อย่างๆ ก็มีอะไรได้ทำตลอด
พี่นิคมองว่านอกจากทักษะดนตรี ตัวศิลปินเองควรมีทักษะอะไรเสริมไว้บ้างในยุคนี้
นิค : ศิลปินถ้าอยากจะเติบโต สิ่งหนึ่งที่เขาต้องไปให้ได้ และหลายคนไม่เข้าใจจุดนี้ด้วยก็คือคำว่ามืออาชีพ คนที่สอนผมเรื่องนี้ คือพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ พี่เต๋อบอกว่า เหนือกว่าคำว่าศิลปิน คือมืออาชีพ พี่เต๋อเป็นศิลปินมาก่อนนึกออกไหมครับ แกไว้ผมยาว ภาษาเราก็ติสต์แดก (หัวเราะ) ทุกคนมีวันที่ติสต์แดกหมด แต่มาวันที่พี่เต๋อต้องมาบริหาร ต้องมาทำงาน กับคนเยอะๆ สิ่งที่พี่เต๋อ ค้นพบคือการพัฒนาตนเองให้ไปสู่ความเป็นมืออาชีพ ซึ่งคำว่ามืออาชีพ ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่ได้เป็นศิลปิน แต่เป็นศิลปินที่นิ่งมากขึ้น สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้ เข้าใจเป้าหมาย พี่เต๋อพูดกับผมเสมอว่าเราต้องทำงานให้เสร็จตรงตามเวลาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสิ่งนี้มันไม่ค่อยเกิดในวงการศิลปะทุกแขนง (หัวเราะ) แต่การทำงานให้เสร็จตรงเวลาและมีคุณภาพเป็นสิ่งที่พี่เต๋อบอกผมไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่หยิบมาใช้ แล้วพี่มักจะทำให้ศิลปินที่พี่ดูแลไปในเวย์นี้ ซึ่งก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง สิ่งสำคัญของมืออาชีพคือ ความรับผิดชอบ ต่อสังคม ต่อคำพูด การมองโลกในแง่ดี เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ
มีคำพูดว่า “วงการดนตรีเปลี่ยนไปเยอะ” แต่มีเรื่องอะไร ที่พี่นิคมองว่ายังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
นิค : เอาจริงๆ ทุกอย่างมันเปลี่ยนนะ เพียงแต่มันเปลี่ยนช้าหรือเปลี่ยนเร็ว ทุกอย่างเดินหน้าของมัน ไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่ แต่คำว่าเปลี่ยน อาจจะไม่ได้แปลว่าดีขึ้นนะ มันไม่ได้แปลว่า ปรับปรุงเสมอไป มันอาจจะแปลว่าแย่ลงก็ได้ แต่ถามว่าอิทธิพลของสื่อที่มีในวันนี้ ทำให้ศิลปินต้องดิ้นรนสร้างตัวตน ความน่าสนใจ เราก็จะเห็นว่าบางครั้งการนำเสนอของศิลปินก็จะไปในทิศทางที่แหวกมาก ส่วนดีไม่ดี ก็อีกเรื่อง ซึ่งเราก็ไม่ว่ากัน เป็นเวย์ของเขา คนดูเป็นคนตัดสิน ว่าเขาจะเอาหรือไม่เอา
คำว่า “วงการเพลงไทยย่ำอยู่กับที่” คำนี้ พี่นิคเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรบ้าง
นิค : ไม่เห็นด้วยแน่นอน แต่มันแค่พัฒนาช้าในบางเรื่อง หลายเรื่องน่าจะพัฒนาได้เร็วกว่านี้ เงื่อนไขนึงก็คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจ รายได้ เม็ดเงินที่มาสนับสนุนในวงการเพลงไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่าง บัตรคอนเสิร์ต ศิลปินเมืองนอก แพงกว่าของเมืองไทย ของไทยถ้าจัดก็เจ๊ง ถ้าไม่มีสปอนเซอร์ ถ้าพูดกันจริงๆ ต้องราชมังฯ ถึงจะได้ค่าตั๋วพอ ถ้าเป็นไซส์เล็ก กลาง มันไม่กำไร เพราะบัตรแพงมากไม่ได้ แต่คอนเสิร์ตเกาหลีเงินเดือน 2 เดือนรวมกัน (หัวเราะ) แต่ผมเชื่อว่าวันนึงเราจะไปถึงจุดนั้นได้นะ ของยังแพงขึ้นทุกอย่าง ทำไมตั๋วจะแพงขึ้นไม่ได้ล่ะ (หัวเราะ) แต่ของเหล่านั้นต้องคุ้มค่าที่จะจ่ายนะ เอาเป็นว่ามันต้องมีกระบวนการในการสร้างของมัน
ทุกวันนี้ทุกคนยังเรียก “พี่นิค genie” รู้สึกยังไงบ้าง
นิค : ก็ช่วยไม่ได้ พี่อยู่กับ genie มากกว่าในชื่อ Grammy นะ ยุคแรกก่อน genie ก็ปี 2526-2539 แล้วหลังจากนั้นก็มาเป็น genie ซึ่งพอเราสร้างขึ้นมาก็อยู่กับมัน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีนี้ก็อยากให้เป็น นิค Way-T สักที (หัวเราะ)
มุมมองกับการเดินทางของ genie ในปัจจุบัน
นิค : ก็เห็นว่ามีความพยายาม และ การขยับตัวอะไรบางอย่าง จริงๆ ก็แอบดู แอบเชียร์ว่าทำงานกันยังไงบ้าง มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่เขากำลังดิ้นรนอยู่ หลายอย่างก็เห็นเลยว่าพยายามทำให้ดีขึ้น อย่าง Paper Planes ในช่วงที่พี่อยู่ก็อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ ตอนที่พี่ดูแล แต่มาสำเร็จในยุคนี้ ก็เป็นเครดิตของเขานะที่เขาทำได้ดี หรืออย่างโจอี้ ภูวศิษฐ์ ก็เป็นศิลปินที่แจ้งเกิดในยุคนี้ ถือว่าน้องๆ ก็ทำงานได้ดี ก็รอดูว่าจะมีอะไรที่มันสามารถยกแผงขึ้นมาได้มั้ย
ถ้าให้เลือกโมเมนต์การเดินทางในวงการดนตรีสักช่วงมาทำเป็น “นิค วิเชียร Documentary” อยากเลือกช่วงเวลาไหนมากที่สุด
นิค : มันมีช่วงนึงที่วงการเพลงมันถูก Disrupt อย่างรุนแรงจากสื่อวิทยุ มันมีช่วงหนึ่งที่เขาจะไม่เปิดเพลงเร็ว ไม่เปิดเพลงร็อค หรือไม่เปิดเพลงใหม่ เขาจะเปิดแต่เพลงฮิต ช้าๆ ต่อเนื่องไม่มีหยุด แล้วเราจะนำเสนอเพลงใหม่ได้ยังไง มันจะฮิตได้ยังไง ถ้าเขาไม่เปิดเพลงเรา มันเป็นตรรกะที่ผมมืดมนมากเลย แล้วจะทำยังไงล่ะ ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่สื่อเริ่มเคลื่อนตัว หลายอย่างเริ่มเปลี่ยน Digital เริ่มเข้ามา เป็นช่วงที่วุ่นวายมาก เราต้องแก้ปัญหาสารพัด ต้องลงทุนเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อให้วิทยุชุมชนเปิดเพลงใหม่ แล้วค่อยดังเข้ามาในเมือง ช่วงนั้นวิทยุในเมืองเปิดเพลงใหม่ช้ากว่าต่างจังหวัดด้วยนะ (หัวเราะ) ผมว่าเป็นโมเมนต์ที่มีอะไรน่าศึกษาเยอะมาก
ตอนนี้ดนตรีหลากหลากมาก เราจะสามารถผลิต “วงดนตรีที่เป็นไอคอน” ได้อีกไหม
นิค : ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกัน อย่างเช่น สื่อ ตอนนี้ไม่มีใครกุมอำนาจสื่อแล้ว วิทยุก็ไม่มีเพาเวอร์ คนฟังเป็นคนเลือก อยากฟังเพลงอะไร ก็สามารถค้นได้เอง ไม่มีคนป้อนแบบแต่ก่อนแล้ว มันอยู่ในหูฟัง อยู่ในโทรศัพท์ แล้วทำไมคุณถึงค้นหาได้ เพราะสิ่งนั้นมันน่าสนใจ น่าดึงดูด คราวนี้ปัญหาคือคุณจะทำยังไงให้เป็นที่น่าสนใจ ดังนั้นถ้าจะให้บอกเป็นแนวดนตรีคงจะล้าสมัยแล้ว ผมว่าเป็นอะไรก็ได้ที่มันไม่เหมือนใคร และมันควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว อย่างถ้าใครมาถามว่าอยากจะเป็น Bodyslam วงต่อไปยังไง ผมก็จะบอกว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่า ยกเว้นจะเป็น Copy Show ก็ทำให้เหมือนละกัน (หัวเราะ)
ฝากแง่คิดให้กับน้องๆ ที่อยากเป็นศิลปินยุคนี้
นิค : คุณต้องมีตัวตนที่แตกต่าง จริงอยู่ว่าโลกนี้มีความสำเร็จที่เกิดจากการทำตามๆ กันเหมือนกัน เพียงแต่มันจะไม่สง่างาม มันจะอยู่ในกระบวนท่าคล้ายๆ กัน การเป็นที่จดจำอย่างยาวนาน ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ