Safeplanet ศิลปินอิสระที่ประสบความสำเร็จด้วยดนตรีอย่างแท้จริง พวกเขาแทบไม่ต้องสร้างคอนเทนต์อะไรมากมาย มีแต่ทำเพลงให้ดี แล้วให้บอกกันปากต่อปาก จุดเริ่มต้นจากคนสองคน “เอ” มือกีตาร์ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นนักร้อง และ “ดอย” มือกลอง ที่ตามกันมาจากวงเก่า จนได้มาพบกับจิ๊กซอว์สำคัญอย่าง “ยี่” มือเบส พวกเขาเติบโตพร้อมทีมงาน แฟนเพลง วงอินดี้ที่ไม่มีสังกัดวงนี้ กลายเป็นวงประจำงานดนตรีสายทางเลือก กลายเป็นวงขาประจำ Festival และในที่สุดก็สามารถมีคอนเสิร์ตใหญ่ระดับ Thunder Dome ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในวงการเพลงบ้านเรา การเดินทางของพวกเขาทั้ง 3 คน จึงมีความน่าสนใจมาก และวันนี้ Safeplanet ก็ได้มาพูดคุยกับเราเรียบร้อย
วันแรกของ Safeplanet ที่เหลือแค่ “เอ” กับ “ดอย” วางเป้าหมายไว้ขนาดไหน
เอ : ตอนนั้นหลังจากที่ Shadow Flare เราแยกย้ายกันไป ตัวผมอยากทำวงใหม่ เพราะก็มีเพลงที่ยังอยากทำอยู่ ก็ชวน ดอยมา ด้วยความที่ฟังเพลงคล้ายกัน
ดอย : ผมกับเอ ค่อนข้างมีเพลงที่ฟังและเป้าหมายที่เหมือนกัน เราอยากมีเพลงของตัวเอง ก็เลยเหลือ 2 คน จนมีเพลงแรกคือกล่องดำ
เอ : ซึ่งตอนนั้นก็มืดมนเหมือนกัน แค่เรื่องนักร้องเรายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นใคร จริงๆ เราชวนสมาชิกวงเก่ากลับมาทำ แต่มีคนเดียวที่ตอบรับคือ “ต่อ” เพื่อมาเป็นนักร้อง ผมรู้เลยว่าเราไม่รอดหรอกอยู่กัน 2 คน แล้วตอนนั้นทุกคนก็มีวงของตัวเองแล้ว แล้วสักพัก เรายังอัดเพลงแรกไม่เสร็จดี “ต่อ” ก็ขอออกจากวง ก็เหลือ 2 ก็เลยตัดสินใจว่างั้นผม ร้องเองก็ได้ ซึ่งชีวิตผม ผมเลือกเป็นมือกีตาร์เพราะตัวเองขี้อาย ผมไม่ได้อยากอยู่ฟรอนท์ด้วยซ้ำ ความฝันสูงสุดคือเป็นมือกีตาร์เล่น Rhythm หรือ Solo ไป เพราะฉะนั้นการที่ผมมาหาเสียงของตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องการออกเสียง การร้องเพลงที่ถูกต้องเลย แรกๆ มันเครียดนะครับ เพราะเราไม่มีไอเดียจากคนอื่นเลย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เออมันทำงานง่ายว่ะ มันจบงานที่ 2 คนได้เลย แต่ผมคิดว่า 2 มันยังไม่บาลานซ์ ยังไม่ Magic Number เราก็เลยอยากได้สมาชิกอีกสักคน ซึ่งก็ต้องเป็นมือเบส เลยให้ดอยช่วยหา
ดอย : ซึ่งผมเป็นคนเชียงใหม่ ก็เคยเห็นหน้าเห็นตา “ยี่” อยู่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนมหิดลฯ ซึ่งยี่ก็มาเข้าเรียนพอดี ผมก็จำได้ว่า มีน้องรักเราคนนึง เล่นเบสเก่ง แถมมีสไตล์ซะด้วย (หัวเราะ)
เอ : เราก็เลยให้ยี่มาแจม ตอนนั้นมีเพลงกล่องดำ ก็ไปนัดกัน ห้องซ้อมแถวมหิดลฯ ซึ่งพอแจมกันแล้ว “ยี่” ก็โอเค เลยเป็น Safeplanet 3 คน ตั้งแต่วันนั้น
ยี่ มีความรู้สึกยังไงที่ได้มาร่วมงานกับ Safeplanet
ยี่ : คือผมแฮปปี้ตั้งแต่ไปแจมในห้องซ้อมที่ศาลายา แล้วผมรู้จักพี่ดอย อยู่แล้วตั้งแต่ที่เชียงใหม่ แล้วตอนอยู่มหิดลฯ ก็เป็นพี่ดอยนี่แหละที่ชวนผมไปเล่นให้ Jelly Rocket ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้มีโอกาสเจอพี่เอ ต้องบอกว่าช่วงนั้นผมยังไม่มีวง แล้วก็ชอบการทำเพลง
เอ : ยากที่สุดคือเรื่องการจูนเข้าหากัน มิชชั่นแรก คือเราต้องรู้จักนิสัยกันก่อน แล้วก็ความรับผิดชอบ วินัย วัตถุดิบของแต่ละคน แม้แต่ผมกับดอย เรารู้จักกันเพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ใช่ในแง่ของการทำดนตรีสักเท่าไหร่ ผมมองว่าการทำวง แล้วอยู่ด้วยกันมันเป็นอีกแบบ เป็นอีกมิตินึงที่ลึกซึ้งกว่า เพราะฉะนั้นก็ปรับเรื่องพวกนี้นานอยู่ เหมือนกัน พยายามให้ทุกคนรับผิดชอบในงานส่วนต่างๆ แต่ไม่ได้ให้อยู่กับใครคนหนึ่งมากเกินไป
แต่ เอ ก็เป็นคนเขียนเพลงหลักๆ
เอ : แรกๆ ใช่ครับ เพราะผมเป็นตัวตั้งตัวตี แต่พอมี “ดอย” กับ “ยี่” ที่ค่อยเติมเข้ามา เราก็เริ่มกระจายงานให้กัน มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ผมเคยได้ยินเรื่อง วงแตก มาเยอะ แล้วไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากจบแบบนั้น แล้ว ตัวผมคนเดียว เป็นศิลปินเดี่ยวไม่ได้แน่ๆ มันไม่ Make Sense เพราะฉะนั้นผมไม่มีความคิดที่จะรวมงานที่ตัวเองคนเดียว ซึ่งแน่นอนครับว่ามันมีทะเลาะกัน มีคุย มีเคลียร์กัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทุกวง ที่แข็งแกร่ง ต้องผ่านมัน ต้องตีกันก่อน
พอชุดเพลงอย่าง คำตอบ / ข้างกาย / กอดความเจ็บช้ำ / ห้องกระจก สร้างความสำเร็จและจุดเปลี่ยนให้วง ตอนนั้น ชีวิต วิธีคิด เปลี่ยนไปขนาดไหน
เอ : แน่นอนครับ ชีวิตเปลี่ยน วิธีคิดก็เปลี่ยนด้วย คือเราใช้เวลา 3-4 ปี เราไม่ใช่อยู่ดีๆ ดัง เราใช้เวลาซึมซับระหว่างทาง ค่อยทำทีละนิด เราไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ดีๆ เปลี่ยน พวกเพลงที่ประสบความสำเร็จมันเหมือนเป็นกำลังใจให้เรา ก่อนหน้านั้นเรามีเดือนละงาน 2 งาน มีงานฟรีซะ 1 งานอีก (หัวเราะ) แล้วก็เล่นเฉพาะ Event ที่เป็นแนวดนตรีเฉพาะทาง พอเพลง “คำตอบ” มา ก็เป็น 18-21 งาน ชีวิตพลิกเลย ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่มีเทคนิเชี่ยนเลย (หัวเราะ) เราเซ็ตอุปกรณ์เอง เราเรียนรู้ไปพร้อมกับวงเราที่โตขึ้น เราไม่เคยรู้ระบบการเป็นวงดนตรีอาชีพเลยทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน มีแค่ความจริงใจ สื่อสารกับแฟนเพลง แล้วก็ได้มีเงินมาจ่ายแบ็คอัพสักที เพราะตอนนั้นพวกเค้าก็มาช่วยเรา แล้วได้เงินน้อยมากๆ ถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมเซอร์ไพรส์ตั้งแต่เพลง “ห้องกระจก” แล้ว พอมาเป็น “คำตอบ” ก็เป็นช่วงที่เราลดความซับซ้อนลง เพื่อให้เข้าถึงคนง่าย แล้วมันก็ลงตัว ซึ่งก็ทำให้วิธีคิดหลายอย่างเราเปลี่ยนจริงๆ
จนถึงวันที่ก่อกำเนิดแฟนด้อม “เซฟบอย” ขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกยังไง
ดอย : ก็รู้สึกดีใจ คือเรามีกลุ่มแฟนเพลงที่ตามเรามา แล้วก็สะสมมาเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็มีคำนี้ขึ้นมา
เอ : มันเริ่มจากที่เราเรียกตัวเองก่อนครับ เหมือนเป็นแก๊ง เริ่มจากพวกเราเรียกตัวเองว่าเซฟบอย จนแฟนๆ น่าจะชอบคำนี้ ติดหู แล้วเอาไปเรียกตัวเอง
ยี่ : เหมือนวัยรุ่นเอาไปเรียกกันเอง ผมเคยได้ยินแบบ วัยรุ่นเขากระซิบกัน ตอนพี่ เอ เดินผ่านแบบ เฮ้ย เซฟบอยๆ (หัวเราะ) จนตอนหลังเขาเอาไปใช้
เอ : เจ๋งดีครับ เป็นอะไรที่แปลกดี (หัวเราะ) แต่ช่วงแรกที่เราเริ่มมีชื่อเสียงประมาณนึงเราเริ่มเครียดนะครับ ด้วยบุคลิกหรือลุคเรา เราไม่เชื่อว่าเราจะเป็นสตาร์ได้ เราทั้งขี้อาย เป็น Introvert เราดื้อ ทำให้ช่วงแรกเรานั่งคิดว่า เราต้องทำยังไงวะ ต้องทำยังไงมันถึงจะดี มันถึงจะเป็นศิลปินแบบที่เขาชอบกัน แต่สุดท้ายเราก็ฝืนไม่ได้ เราก็ต้องเป็นเราแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราเชื่อว่า Value พวกนี้มันอยู่นานกว่า การที่เราพยายามเป็นใครสักคน อย่างผมจะให้ไปเอนเตอร์เทนแบบ ปรบมือดิ โดดดิ ก็ไม่น่าจะไหว (หัวเราะ) ผมไม่รู้สึกว่าจะสั่งเขาทำไมวะ ก็รู้จักผมในแบบที่ผมเป็นดีกว่า ซึ่งกลายเป็นว่าสบายใจมากขึ้น เราไม่ต้องแบกอะไรไว้ เวลาไปเล่นงานต่างๆ ทุกคนเข้าใจ
ความท้าทายของ Safeplanet ในการไม่สังกัดค่ายเพลง มีมุมมองต่อเรื่องนี้ยังไง
ดอย : คือเราเริ่มจากการทำกันเอง พอทำมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเรียนรู้หลายๆ อย่าง เจอพี่ๆ ที่น่ารัก จากค่ายอื่นๆ เราก็เอาคำสอน หรือเห็นว่าเขาทำอะไรแล้วเวิร์ค ก็เอามาใช้กับพวกเรา
เอ : นั่นเป็นความลับของวงเราครับ (หัวเราะ) เราดูดวิชาพี่ๆ มา ผมว่าพวกเราเสี่ยงดวงทุกครั้งเวลาเราปฏิเสธค่ายไหนก็ตาม เรารู้อยู่แก่ใจว่าเสี่ยง ถ้าไปไม่รอด เราจะกลับมาได้ไหม พี่ครับผมขอมาอยู่ด้วย (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็บอกว่ากลับมาคุยกันได้ มันก็เหมือนเราก็ไปของเราเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราผ่านได้ไปหมด ก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นความสบายใจของเรา 3 คน เวลาทำงาน 3 เสียงจบงานได้เลย ก็เลยสนุกกับการอยู่แบบนี้ดีกว่า
ยี่ : แต่ถามว่าตอนแรก ตอนไม่มีงาน เราอยากอยู่ค่ายไหม ก็คิดครับ
เอ : คิดเยอะเลยแหละ (หัวเราะ)
ยี่ : แต่ว่าเราโชคดีมีผู้มีพระคุณนั่นคือคุณแม่ของพี่เอ นั่นเอง (หัวเราะ) คือแกให้ยืมทุกเพลง แต่เราก็คืนนะครับ คือตอนนั้นแบบ พอถึงทางแยก เราก็คิดกันเอาไงดี ก็แบบอดทนอีกหน่อย
เอ : แม่กูมี (หัวเราะ)
ยี่ : จนพอผ่านมา เราเลี้ยงชีพได้ก็คือให้หมดเรียบร้อย
เอ : คือเราก็คืนทุกครั้งที่เรามีรายได้ ไม่งั้นแม่ผมก็คงไม่ให้ยืมต่อ (หัวเราะ)
ดอย : จริงๆ การปฏิเสธพี่ๆ ที่เข้ามาชวนมันยากเสมอครับ แต่เราก็ต้องพูดความจริง ถ้าเราอยากอยู่อย่างนี้ต่อ
เอ : มันไม่ใช่เรื่องเงินหรืออะไรนะครับ แต่เราเคยชินกับการทำงานแบบนี้ไปแล้ว เราก็เลยบอกพวกพี่ๆ ที่มาชวนไปตรงๆ ได้ ซึ่งทุกวันนี้พี่ทุกคนก็ซัพพอร์ตเราเช่นเดิม
ความรู้สึกกับการได้รับรางวัล The Guitar Mag Awards ในสาขา Best Indie Of The Year
ดอย : ดีใจมากครับที่ได้รางวัลนี้ เพราะผมก็อ่าน The Guitar Mag มาตั้งแต่เด็ก ก็ดีใจที่สื่ออย่าง The Guitar Mag ให้โอกาส มองเห็นนอกจากเพลงในตลาดก็ยังมีกลุ่มพวกเรา มีเพลงแปลกๆ ที่น่าสนใจ อยากให้ทาง The Guitar Mag ให้ความสำคัญกับวงในแนวนี้อีกด้วย ก็จะช่วยให้วงการเพลงมันหลากหลาย ซึ่งขอบคุณที่ให้เกียรติพวกเรา ขอบคุณมากๆ ครับ
เอ : แล้วก็เป็นรางวัลที่เป็นดนตรีโดยตรง ก็เลยดีใจมาก เป็นเกียรติมากที่มองเห็นพวกเราครับ
อุปกรณ์ดนตรีของ ทั้ง 3 คน
ยี่ : ตอนนี้ผมใช้เบสของเกาหลียี่ห้อ Moollon เบสผมเป็นเบสที่เกิดจากช่างคนเดียวทำ ฟิลเหมือนแบบ Fender Master Built แล้วเขาตั้งใจจะทำเบสสไตล์ Fender ยุค Pre CBS ซึ่งเขาก็ลองทำหลายตัวแล้วได้ข้อสรุปว่าที่ทำเบสแบบนั้นอีกไม่ได้เพราะใช้วัสดุไม่ถูกต้อง แล้วสุดท้ายเขาก็มีแบบสูตรที่เอาไว้หล่อพวกนี้เอง อีกอย่างนึงก็เป็น Brazilian Rosewood ซึ่งตอนนี้เป็นไม้ต้องห้ามไปแล้ว เป็นเบสที่ผมว่าเข้ากับวงที่สุด ส่วนตัวอื่นๆ ก็ F-Bass ที่ดูโมเดิร์นหน่อย แต่ไม่ค่อยเข้ากับวง ใช้อัดเสียงมากกว่า แล้วก็มี Hofner ปีเก่า ซาวด์วินเทจใช้กับเพลงที่ต้องใช้ปิ๊ค ปรับยากหน่อย แล้วก็ Fender Precision Bass เป็น Vintage ปี1966
เอ : ช่วงนี้ผมแฮปปี้กับการหากีตาร์มา Recording ในแต่ละคาแร็กเตอร์ ผมเพิ่งสั่ง Island เป็นกีตาร์ที่สั่งมาจาก Canada ซึ่งผมประทับใจมาก
ดอย : เอาจริงๆ เราเปิดดูว่าจะหาเบสให้ยี่ แต่ไปๆ มาๆ เอ ก็ได้ Island มา (หัวเราะ)
เอ : ก็รอ 3-4 เดือน นานมาก คือจริงๆ ถ้าสั่งมันจะเป็นปีเลยนะครับ แต่ของผมบอกกับทางแบรนด์ว่ามีตัวไหน ที่พร้อมส่งเลยไหม ไม่ต้อง Custom ก็ได้ ก็ประทับใจมาก ล่าสุดก็มี Gibson Goldtop ที่เป็นรักครั้งใหม่ของผม ตอนเด็กๆ ไม่ชอบเลยครับ สีมันแก่ บอดี้เทอะทะ แต่ตอนนี้ผมหลงรักมันมาก ตอนนี้ชอบเสียงหนาๆ ของมันไปเลย
ดอย : ตอนนี้ผมใช้ Pearl เป็นมือ 2 ปี 2005 รุ่น MRV เป็น Maple คือคนขายเขาบอกว่าชุดนี้ Dennis Chambers เคยใช้ Workshop ที่ไต้หวัน แต่เขาก็ไม่มีภาพให้ผมดูนะ (หัวเราะ) แต่สตอรี่มันมาแล้ว ซึ่งในชุดก็แถมสแนร์ Dennis Chambers มาด้วย ซึ่งสีมันลงตัว พอมาลองก็ชอบ ส่วนฉาบก็ใช้ Zildjian K Custom ซึ่งธีระมิวสิคก็ลดราคาให้เยอะครับ (หัวเราะ) ซึ่งก็แถมให้ผมตลอดเลยครับ ต้องขอบคุณจริงๆ ครับ
ให้พูดถึงสถานที่เติมเชื้อเพลิงของยานอย่าง Minerva Studio สักหน่อย
ดอย : คือ Minerva เป็นสตูดิโอของเพื่อนผม ชื่อมิน ตอนแรกอยู่แถวกระทุ่มแบน ก็เริ่มต้นมาด้วยกันเลยครับ ซึ่งเพลงเกือบทุกเพลงในอัลบั้มแรกของเรา อัดที่นี่
เอ : 80 เปอร์เซ็นต์ของ Discography เรา เกิดขึ้นที่นี่
ดอย : ซึ่งวันนี้เราก็ดีใจกับพวกเขาเช่นกัน พวกเขาเก่งจริง เอาจริง ซึ่งตอนนี้ก็มีคนไปอัดเยอะมาก
เอ : การไปห้องอัดของเรากลายเป็นรู้สึกสบายใจมาก เราต้องการอะไรคุยกับเขาได้ เราเห็น เจ มณฑล ดิลกชวณิช หรือ เจ Frenzy Heart ตั้งแต่ยัง Mix Master ไม่เป็น จนตอนนี้เป็นมือต้นๆ ของประเทศไปแล้ว ซึ่งเพลงของเราเป็นครั้งแรกที่เขาทำ Mix Master
นโยบายของรัฐที่เกี่ยวกับดนตรีที่ Safeplanet อยากเห็น
ยี่ : ผมว่าอาจจะไม่ใช่แค่ดนตรี อาจะหมายถึงศิลปะโดยรวม ประเทศเรามีคนเก่งอีกมากที่ไม่ถูกผลักดันโดยรัฐ ส่วนตังผมมองว่าคนในประเทศเราไม่มีเวลาให้ศิลปะ ผมอยากเห็น Festival ที่ผลักดันโดยภาครัฐ มีดนตรีหลากหลาย ศิลปะหลากหลาย ให้คนได้เสพเยอะๆ ไม่จำเป็นต้องไปหอศิลป์อย่างเดียว
เอ : อย่าง Festival ดังๆ ของต่างประเทศ อยากให้ทางภาครัฐเห็นว่าตรงนี้เป็นช่องทางของรายได้เหมือนพวก Summer Sonic, Glastonbury หรืออะไรทำนองนี้ที่คนจากประเทศอื่นต้องบินมาดู ซึ่งถ้ามองด้วยงบประมาณที่เรามี ที่ไม่รู้ว่าเอาไปลงที่ไหน ผมว่าเอามาจัดพวกนี้ได้เลยแล้วสร้างกำไรได้อีกทางหนึ่ง แค่เขาไม่เลือกที่จะทำ แค่สร้าง Venue ดีๆ จ้างศิลปินเบอร์ยักษ์ๆ มาเล่น มันจะเป็นพื้นที่ให้คนแสดงผลงานด้วย
ยี่ : เสริมพี่เอนิดนึง ผมอยากให้ประเทศเรามี Venue ที่อาจจะใหญ่ระดับ Impact หรือ Thunder Dome ที่ใส่ใจเรื่อง Acoustic เรื่องซาวด์ เหมือนที่ญี่ปุ่น ตอนที่เขาจัด Olympic พอเขาแข่งเสร็จก็ Renovate ให้จัดดนตรีได้ เรายังไม่มีที่ใหญ่ขนาดนั้น ที่ซาวด์ดีจริงๆ
เอ : ซึ่งผมว่าเรื่องนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าเราให้ความสำคัญกับดนตรีขนาดไหน เหมือนที่สิงค์โปร มี Esplanade หรือ Opera House ที่ Sydney ของเราไม่มี ก็แสดงว่าเราไม่ให้ความสำคัญกับดนตรีเลย
ดอย : มันอาจจะต้องร่วมกันหลายฝ่าย ผมมองว่าดนตรีกับศิลปะเป็นของดี ผมก็อยากให้มันเป็นเหมือน Otop ในแต่ละจังหวัดก็ได้ อยากให้แต่ละเมืองมี Festival ของตัวเอง
ยี่ : อยากให้มองในมุม Art ด้วย ไม่ใช่ไปมองว่าพอเป็น Festival ก็หมายถึงให้คนมาเมาอย่างเดียว อยากให้มองอีกภาพนึง ยังมีคนที่เขา Appreciate กับศิลปะอยู่ด้วย
มาถึงวันนี้ Safeplanet คือวงดนตรี ที่ประสบความสำเร็จจากดนตรีล้วนๆ อยากให้ฝากถึงคนที่มีความฝันตรงนี้
ดอย : ก็อยากให้ทุกคนเอาจริงไม่ว่าจะตั้งใจทำอะไร พยายามมองรอบๆ ศึกษาจากคนอื่น มาปรับใช้กับเรา อย่าเพิ่งท้อ ซึ่งเอาจริงๆ วงเราก็เคยท้อครับ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าตัดสินใจคว้าสิ่งนั้นแล้ว ผมว่าเราหาวิธีได้ แต่เราแค่อย่าหยุดทำ แล้วก็พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ สักวันความฝันจะเป็นจริง ถ้ายังไม่ยอมแพ้
เอ : อย่างแรกสุดก็อยากให้กำลังใจ ให้ทุกคน จะตามฝันหรือตะทำอะไรขอให้ตั้งใจจริงๆ เพราะคนฟัง สมัยนี้มองออกแน่นอน ว่าเจตนาเป็นยังไง เราทุ่มเทขนาดไหน ขอให้ทำทุกอย่างในเส้นทางที่ Healthy ตามกำลังตัวเอง ไม่ต้องทุ่มสุดตัวขนาดนั้นก็ได้ อย่างผมก็ทำงานประจำเพื่อเอามาซัพพอร์ตความฝัน ก็ทำที่มันพอจะไหวครับ พัฒนาหูของเรา ฟังเองที่เราขอบ ฟังเพลงตัวเองแล้วขนลุก เอาความรู้สึกนั้นโดยไม่หลอกตัวเอง ผมทำแบบนั้นจนเจอสูตรของเรา พยายามทำให้มัน Healthy เป็นกำลังใจให้ครับ
ยี่ : เป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ต่อไป อย่าโกหกตัวเอง หาข้อไม่ดีของตัวเองปรับปรุง พัฒนา ไม่ต้องรีบ ใส่ใจเบสิกเยอะๆ
เอ : แล้วอีกเรื่องก็คือ พยายามรักษาเพื่อนที่รู้สึกว่าไอ้นี้พูดตรงแน่นอน พยายามรักษาคนแบบนี้ไว้ พยายามอย่าเถียงตอนเขา Convince เราตรงๆ
ยี่ : ถ้าเขาหวังดี ติเพื่อก่อ ก็เก็บมาพัฒนาตัวเอง
เอ : แต่ถ้าใช้อารมณ์ก็ค่อยว่ากัน (หัวเราะ)