ถ้าเราพูดถึง Music Festival คำนี้อาจจะเป็น Lifestyle ของคนที่สนใจ Community ดนตรีไปเรียบร้อยแล้ว ย้อนกลับไปถ้าพูดถึง Music Festival ในประเทศไทย เชื่อว่าชื่ออย่าง “Big Mountain” จะเป็นชื่อแรกๆ ที่เราคิดถึง เป็นหนึ่งใน Landmark ที่วัยรุ่นทุกคนอยากไป แต่ปัญหาคือวัยรุ่นเหล่านั้นไม่สามารถไปได้ทุกคน หากลองคิดดูหากเราเป็นวัยรุ่นปักษ์ใต้ หรือเป็นชาวเหนือ แม้แต่ในอีสานเองที่พื้นที่กว้างขวางเหลือเกิน การจะไปงานเทศกาลดนตรีต้องมีภาระมากขนาดไหน
จากไอเดียนี้ GMMSHOW จึงพัฒนารูปแบบของ Show Biz เพื่อรองรับสิ่งนี้ จึงได้ตั้งทีมที่ชื่อว่า “All Area” เพื่อเติมเต็มความฝัน ความสนุก ของวัยรุ่นในแต่ละภูมิภาคให้ได้มากที่สุดผ่าน 3 เทศกาลดนตรีใหญ่อย่าง “เชียงใหญ่เฟส” “เฉียงเหนือเฟส” “พุ่งใต้เฟส” ให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นและครั้งนี้เราจะมาพูดคุยกับสาวเท่ ผู้ส่งความสุขผ่านเทศกาลดนตรี “ตูน พนมกร พันธุ์ชนะ” เรามารู้จัก ทีม All Area ทีมนี้ไปด้วยกัน
จุดเริ่มต้น
ตูน : ก็เริ่มจากทำงานแรกอยู่คลื่น A-Time เป็น Creative ที่ Hot Wave เราก็ทำพวกคิดเกม จัดชาร์ตเพลง คิดสปอต ทำโปรโมตคอนเสิร์ต อย่างพวก Hot Wave Music Awards ก็มานั่งฟังเดโม่คัดเลือกเด็ก ตอนนั้นเป็นช่วง Hot Wave Music Awards ครั้งที่ 7 ทำอยู่ 7 ปี แล้วก็ทำพวกสคริปต์ให้ศิลปินเวลาเปิดอัลบั้มอย่าง Bodyslam / Big Ass / No More Tear คราวนี้ก็เริ่มมีคนชวนไปทำโปรโมเตอร์ ก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็ได้มาคุยกับพี่นิค ที่ genie records มาดูเรื่องดูแลศิลปิน จนมาเป็นโปรโมเตอร์ที่ genie
งานชิ้นแรกที่ genie records
ตูน : มาดูแล Klear ช่วงเพลงรักไม่ต้องการเวลาจากนั้นก็เป็น Sweet Mullet / No More Tear / Ebola คือช่วง genie ช่วงนั้นเลย ซี่งตอนนั้นสนุกสนานมาก ตอนที่มาแรกๆ เราได้รับโจทย์มาให้ทำการบ้านเรื่องศิลปิน โจทย์แรกคือทำยังไงให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น นี่คือโจทย์แรก เราเลยตั้งต้นจากการทำแบรนด์ดิ้ง วางโพสิชั่นนิ่งใหม่ มาดูว่ามีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง แต่ละวงเป็นยังไง ทำ SWOT Analysis ดูทั้งโอกาส อุปสรรคทุกอย่าง มีอันไหนที่จะเติบโตได้บ้าง แล้วแตกคอนเซ็ปต์ ดูเรื่องครีเอทีฟว่าจะโปรโมตเขาอย่างไร
แนวทางการทำงานในช่วงเวลานั้น
ตูน : คือศิลปินเขาจะมีเพลงมาอยู่แล้ว เราก็จะทำงานควบคู่ไปกับวง กับพี่นิค กับโปรดิวเซอร์ ตอนนั้นทำกับพี่โน่ ดนัย มาวางแผนกันว่าทำวางเพลงไหนเพลงแรก วงเห็นด้วยไหม ต้องปรับเปลี่ยนยังไง แล้วก็หาวิธีโปรโมตเพลงนั้น วงแรกที่ได้ทำคือวง Klear ตอนนั้นกำลังจะปล่อยเพลงรักไม่ต้องการเวลา เพลงนี้สว่างมาก เราจะทำให้ Klear สว่างขึ้น รีแบรนด์ใหม่ จากเพลงหายอัลบั้มแรก มาทำอัลบั้ม Brighter Day ปรับ Look ให้ภาพวงสว่างขึ้น รีแบรนด์กันใหม่ทั้งเรื่องเพลงและภาพไปพร้อมๆกัน นี่ก็เป็นหน้าที่หลักๆ ตอนอยู่ genie
จุดเปลี่ยนสู่โลกของ ShowBiz
ตูน : หลังจากทำงานที่ genie อยู่ 3-4 ปี ตอนนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นของพวกเทศกาลดนตรี พึ่งจะเริ่มมี Big Mountain ครั้งแรก ตอนนั้นพี่เต็ด ยุทธนา ก็ชวนศิลปิน genie ไปเล่น บอกว่ามีเวลาให้ genie 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม จะทำโชว์อะไรออกมา ก็มานั่งคิดกัน ก็ไปทำอยู่ที่เวที District9 อยู่ 2 ปี ตอนนั้นเราเริ่มเห็นอะไรบางอย่างใน Music Festival แล้วรู้สึกว่ามันสนุกจัง จนเราได้ไปดูงาน Summer Sonic ซึ่งตอนนั้นเราลาออกจาก genie แล้ว เป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนงานพอเราได้ไปดู Music Festival ที่ต่างประเทศรู้สึกสนุก เป็นอีกโลกไปเลย เจออะไรใหม่ๆ เต็มไปหมด เราได้ดูวงที่เราอยากดูตั้งแต่เด็กๆ เราเห็นบรรยากาศทุกอย่าง ก็เลยตัดสินใจมาทำงานกับพี่เต็ด ยุทธนา อยากทำ Music Festival ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาทำงานด้านนี้
“All Area” เป็นน้องใหม่ล่าสุด ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบุกเบิกทำเฟสติวัลใหญ่ของแต่ละภูมิภาค อย่าง เชียงใหญ่เฟส / เฉียงเหนือเฟส / พุ่งใต้เฟส ที่ใหญ่ที่สุดในแต่ละภูมิภาค
Music Festival แรกที่ได้ลงมาทำงานเต็มตัว
ตูน : เป็น Big Mountain ตอนปี 4 ปี ที่ฝนตกปีแรกเลย ไม่มีใครคิดว่าเดือนธันวาคมฝนจะตก (หัวเราะ) เรามาทำ On Ground ตอนนั้นดูแล 4 เวที ดู District 9 / อโคจร / ปากช่อง / ซอยสอง ซึ่งคาแร็กเตอร์แตกต่างกันมาก อย่างตอนนั้นปากช่อง ก็จะเป็นวงหน้าใหม่อินดี้ๆ หน่อย อโคจร ก็แน่นอนของน้าเน็ก ซอย 2 เป็นบาร์ของเหล่าตัวแม่ District 9 ก็ชาวร็อคมาก
ในช่วงแรกทีมงานที่ทำส่วนนี้จะยังไม่ได้แยกส่วน ยังเป็นทีมเดียว หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น
ตูน : หลัง Covid เราเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในองค์กร เกิดเป็น 4 หน่วยงาน มีทีม “เกเร” ดูแล Big Mountain เป็นหลัก ทีม “Idea Fact” ดูแลคอนเสิร์ตในฮอลล์เยอะหน่อย หรือถ้าเป็น Music Festival อย่าง นั่งเล / นั่งเล่น จะเป็น Lifestyle มิวสิกเฟส ทีม GFEST ที่ดูแล Rock Mountain / Rock On The Beach และ Monster ส่วนของ “All Area” เป็นน้องใหม่ล่าสุด ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบุกเบิกทำเฟสติวัลใหญ่ของแต่ละภูมิภาค อย่าง เชียงใหญ่เฟส / เฉียงเหนือเฟส / พุ่งใต้เฟส ที่ใหญ่ที่สุดในแต่ละภูมิภาค
การเริ่มต้นนำ Music Festival สู่ภูมิภาค
ตูน : เราได้ยินเสียงเรียกร้องจากผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมา Music Festival จากที่ไกลๆได้ มันมีทั้งเรื่องระยะเวลาการเดินทางและค่าใช้จ่ายสูง ก็รู้สึกว่าทำไมเราไม่ไปหาเขาเลยล่ะ งานเชียงใหญ่เฟสเลยเป็นมิวสิกเฟสแรกที่เราขยายต่อไปยังภาคเหนือ ส่วนเฉียงเหนือเฟส ด้วยความที่ภาคอีสานใหญ่มาก เราจึงมองเห็นว่าขอนแก่นเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อมไปยังภาคอีสานตอนบนได้ ส่วนพุ่งใต้เฟสเราทำการบ้านมาหลายปีว่าภาคใต้ยังไม่มีมิวสิกเฟสติวัลใหญ่ๆเป็นของตัวเอง เราจึงมองหาดใหญ่ว่ามี Potential ในการขยายไปสู่ผู้ชมชาวใต้ เป็นลำดับถัดมา
แนวทางการหาพื้นที่จัดคอนเสิร์ต
ตูน: เราจะมีโจทย์ เราต้องตั้งเป้าว่าเราจะมีคนดูกี่คน พื้นที่ตรงนั้น Scale ได้ไหม พอไปดูพื้นที่แล้วตรงนั้นมีความสวยงามอะไร มี Landmark อะไรบ้าง ที่เราสามารถทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวเราให้ออกมาเป็นพื้นที่จริงได้ ต้องคิดในมุมนี้
“GMMSHOW เรามีมาตรฐานของการจัดการไม่ว่าจะเรื่องโปรดักชั่น แสง สี เสียง การจราจร ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ชม เราต้องทำมาตรฐานพวกนี้ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี”
เริ่มจากการจัดเฉียงเหนือเฟส
ตูน : เราพยายามหาสถานที่ที่ใหญ่เพียงพอกับผู้ชมของเรา ตอนแรกมองไว้อีกที่ แต่ก็ติดปัญหาบางอย่าง จึงต้องหาสถานที่ใหม่ ก็ใช้วิธีหาจาก Google Map (หัวเราะ) ตรงไหนที่ใกล้เมือง รองรับคนได้เยอะ ถนนใหญ่ตัดผ่าน ไปเจอที่ บขส.3 ซึ่งใกล้กับที่เดิม มีถนนตัดผ่าน โดยให้ทีมโปรดักชั่นไปลองดูสถานที่ ซึ่งไปดูพื้นที่มันกว้างมาก แต่สิ่งที่ยากคือมันเป็นทุ่งนา คือมันไม่ได้มีหญ้านุ่มให้คนได้นั่งพัก ก็เลยมีข้อจำกัดในการทำพื้นที่ตรงนี้เหมือนกัน ก็พยายามแก้ปัญหาอยู่ แต่เราก็วางไว้ตรงนี้แหละ
แนวทางการเลือกศิลปินที่น่าสนใจของเฉียงเหนือ
ตูน : เราเริ่มจากตั้งกลุ่มผู้ชมก่อน ซึ่งเป็นวัยรุ่น เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราทำการค้นหาข้อมูลให้มากที่สุด คุยกับผู้ชมในพื้นที่ เขาก็อยากได้ Music Festival ในบ้านเกิดของตัวเองบ้าง ซึ่งน่าสนใจตรงที่เด็กอีสานฟังเพลงที่ค่อนข้างลึกอยู่เหมือนกัน อินดี้มากๆ ก็มี เราพยายามเลือกศิลปินที่ผู้ชมสนใจอยากให้มาเล่น และเราก็เพิ่มเติมศิลปินที่น่าจับตามองและอยากแนะนำให้เค้าด้วย
มีการให้นักศึกษามีส่วนร่วมในงาน
ตูน : ความตั้งใจตั้งแต่ปีแรก อยากให้นักศึกษาอีสานมีส่วนร่วมกับมิวสิกเฟสให้เค้ามีความภูมิใจในการสร้างผลงานร่วมกันกับทีม All AREA อย่าง Decoration ในงานเช่นธงที่ออกแบบลวดลายใส่ความเป็นอีสานกับสีสันที่สดใส ทำให้งานโมเดิร์นกับโลคอลมาผสมกันเกิดเป็นสิ่งใหม่ และต่อยอดในเฉียงเหนือเฟส 2 เรามีเวทีใหม่ชื่อ เวทีมิตรภาพขึ้นมา เลยอยากให้เวทีนี้เป็นเวทีที่นักศึกษาได้แสดงผลงานการออกแบบและใส่เรื่องราวความเป็นอีสาน ถือเป็นการร่วมมือจนกลายเป็นมิตรภาพสมชื่อเวที
เชียงใหม่ กับ เชียงใหญ่ งานปราบเซียน
ตูน : งานปราบเซียนจริงๆ ทั้งเรื่องการหาพื้นที่ใหม่ การเดินทาง สภาพอากาศ ปีนี้ปีที่ 5 จัดที่บ้านสวนรถไฟ เราเริ่มจัดที่นี่ตอนปีที่ 3 ตรงนี้มันใหญ่พอที่จะขยาย แล้วก็เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่สวย แต่ก็มีความยากตรงที่เป็นทางขึ้นเขา แล้วก็เป็นถนน 2 เลน แคบ แล้วเกิดปัญหาจราจรแน่นอน ตอนปีที่ 3 ฝนตกด้วย (หัวเราะ) จนพอปีที่ 4 เลยแก้ปัญหาการปรับพื้นที่ทำลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ก่อนเลย แล้วก็มีที่จอดรถสาธารณะ เราก็รณรงค์ให้คนมามอเตอร์ไซค์ให้มากที่สุด ก็ทำให้รถไม่ติดด้วย ได้ฟีดแบคที่โอเคขึ้น ส่วนรถยนต์เราก็ใช้วิธีหาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตที่เราจอดรถยนต์ได้ ก็จะมีรถสาธารณะมาที่งานเราได้ด้วย แล้วก็มีเก็บตกโดยคุยกับลานจอดรถเอกชนที่พอจะจอดได้ คุยกับหมู่บ้านแถวนั้น 3 หมู่บ้าน เขาก็จะมาช่วยทำลานจอดรถ แล้วก็มีวินมอเตอร์ไซค์มาที่งาน ก็กระจายรายได้ด้วย ส่วนเรื่องฟ้าฝนก็ต้องภาวนาอย่างเดียว ที่นี่จะมี 3 เวที เวทีดอย ใหญ่ที่สุด ก็รับได้ 2 หมื่นคน เวทีหมี ก็น้องๆ เวทีดอย 18,000 คนแล้วก็รถแดง จะรองรับ 2,000-3,000 คน ก็จะเป็นศิลปินอินดี้ แบบสไตล์เชียงใหม่ ซึ่งคาแร็กเตอร์ก็จะแตกต่างกัน
กับ พุ่งใต้ ที่จัดเป็นครั้งที่ 2
ตูน : เราจัดที่หาดใหญ่ เพราะตรงนี้เป็นเมืองที่มีเรื่องเศรษฐกิจด้วย มีการคมนาคมที่ดี แล้วเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยเยอะ เป็นศูนย์กลางการศึกษา ด้วยความที่ทาร์เก็ตของเราเป็นนักศึกษาและกลุ่มวัยรุ่นมัธยม ซึ่งเราจัด ที่ The Pirate Park ซึ่งเป็นสวนน้ำเก่า ตอนแรกก็ปล่อยร้าง แต่เราไปดูแล้วพื้นที่ดีมาก อย่างน้อยเป็นพื้นปูนซีเมนต์เราก็สบายใจแล้ว เพราะภาคใต้ฝนตกได้ตลอด ก็มีบริเวณสนามหญ้าให้เราได้ชิลด้วย แล้วมันมีสถานที่ๆ ทำ Street Art ได้ และเรื่องที่เราคำนึงมากก็คือความปลอดภัย เราก็ไปคุยกับทางจังหวัด ว่าเราจะมาช่วยพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจด้วย ซึ่งต้องบอกว่าเราได้รับความร่วมมือกับทางภาครัฐอย่างดี แล้วคือเป็นงานใหญ่งานแรกหลังจาก Covid เลยเป็นงาน Big Scale งานแรก ส่วนเวทีที่นี่จะมี 2 เวที คือเวทีหาด กับเวทีใหญ่ ก็แตกต่างกันตรงเวทีหาด จะเป็นเวทีเล็ก จุได้ 10,000 คน จะเป็นศิลปินมีชื่อแต่มีความชิลหน่อย อย่างปีนี้ก็มี 4EVE แล้วก็ Saran กับ Twopee มาสร้างสีสัน เน้นสนุกหลายรูปแบบ ส่วนเวทีใหญ่ก็จะเป็นศิลปินที่ทุกคนรอคอย อย่าง Cocktail Bodyslam Three Man Down เป็นต้น
“Music Festival ที่เราทำอยู่ทุกอันเราอยากเห็นมันเติบโตขึ้น คนดูมีความสุข แม้ว่าก่อนวันงานจะยากลำบาก ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความท้าทายในแต่ละงานที่ไม่เหมือนกัน แต่พอวันงานเราเห็นคนดูมีความสุข มันจะเติมเต็มเราได้ เขาฟีดแบคเรามาดีแค่นี้ก็เป็น Music Festival ในฝันได้แล้ว”
ศิลปินที่มีความคล้ายคลึงกันในแต่ละเฟสติวัล ทาง All Area มีมุมมองตรงนี้อย่างไร
ตูน : เอาจริงๆ เรามีการสำรวจอยู่แล้ว ว่าคนดูอยากดูศิลปินอะไร เราใช้ข้อมูลตรงนี้ประกอบการตัดสินใจด้วย เราใช้ Data ในการจัดศิลปิน เราไม่ได้ทำตามใจตัวเองนะ แต่เราจะพยายามใส่สีสันลงไปให้แตกต่างกัน คือไม่ยาก แต่ไม่ง่าย
มองอนาคตวงการ Music Festival ในไทยไว้อย่างไรบ้าง
ตูน : ถ้าพูดตรงๆ ตอนนี้วงการมิวสิกเฟสติวัลมีการแข่งขันสูง มีผู้จัดหน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเลยต้องมาโฟกัสงานที่ทำมากขึ้น GMMSHOWเองต้องทำมาตรฐานงานให้ดีเพราะงานของ GMMSHOW เรามีมาตรฐานของการจัดการไม่ว่าจะเรื่องโปรดักชั่น แสง สี เสียง การจราจร ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ชม เราต้องทำมาตรฐานพวกนี้ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย Music Festival
ตูน : เราได้รับความร่วมมือที่ดีในทุกจังหวัดที่เราไป ทั้งภาครัฐ หน่วยงานราชการและเอกชน ไปพูดคุยหารือ หาแนวทางว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้การมาจัดงานของเราทำให้คนในพื้นที่จังหวัดนั้นๆก็ได้ประโยชน์ด้วย อย่างโรงแรมที่มียอดจองเต็มในช่วงการจัดงาน หรือร้านค้า แม้จะไม่ได้อยู่ในงาน แต่ก็ได้รับประโยชน์จากการมาท่องเที่ยว คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัดแต่ละพื้นที่ดีขึ้นด้วย
ในวันนี้ Music Festival บ้านเราพอจะเทียบเท่าต่างประเทศได้บ้างหรือยัง
ตูน : ถ้าในเรื่องการจัดการมิวสิกเฟสติวัลในประเทศไทย คนดูถือว่ามีความสำคัญที่สุดในงาน เราต้องดูแลให้ดีที่สุด เราซัพพอร์ตผู้ชมเรื่องความสะดวกสบายได้ดีกว่าที่ต่างประเทศ เช่นห้องน้ำ บางเฟสติวัลยังไม่สะอาดเท่าบ้านเราและเรื่องโปรดักชั่น แสง สี เสียง ในมิวสิกเฟสติวัลบ้านเราไม่ด้อยไปกว่าเฟสติวัลที่ต่างประเทศแน่นอน แต่เฟสติวัลของเมืองนอกจะมีเรื่องเทคโนโลยีของโชว์ที่น่าสนใจ ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันทันสมัย แล้วก็สนุก ซึ่งเราต้องค่อยๆพัฒนากันต่อไป
งาน Music Festival ในฝัน
ตูน : Music Festival ที่เราทำอยู่ทุกอันเราอยากเห็นมันเติบโตขึ้น คนดูมีความสุข แม้ว่าก่อนวันงานจะยากลำบาก ต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความท้าทายในแต่ละงานที่ไม่เหมือนกัน แต่พอวันงานเราเห็นคนดูมีความสุข มันจะเติมเต็มเราได้ เขาฟีดแบคเรามาดีแค่นี้ก็เป็น Music Festival ในฝันได้แล้ว
ฝากทีม All Area สำหรับคนที่รักในMusic Festival
ตูน : ฝาก All Area ในทุกพื้นที่ทุกอณูของทุกๆ คน ฝาก Music Festival ทั้ง 3 แบรนด์ของ All Area ไว้ด้วยค่ะ ช่วงปลายปี เจอพวกเราในทั้ง 3 งาน 3 ภาคแน่นอนค่ะ