หลังจากความสำเร็จของอัลบั้มเดบิวต์อย่าง “Strangers / Lovers” ของซูเปอร์สตาร์สุดป็อปขวัญใจชาวนอร์เวย์อย่าง “Dagny” ที่รังสรรค์ผลงานออกมาได้ดีเยี่ยมและถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก และล่าสุดกับแพลนการปล่อยอัลบั้มชุดต่อไปอย่าง “ELLE” ซึ่งเธอเตรียมจัดเต็มอัลบั้มใหม่นี้ด้วยความคิดสร้างสรรค์อย่างถึงขีดสุด! พร้อมจัดหนักด้วยเพลงที่ปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกของเธออย่างเหลือล้น ทาง The Guitar Mag มีโอกาสได้สัมภาษณ์เจ้าตัว ถึงผลงานชิ้นใหม่นี้มาฝากกันด้วย ติดตามอ่านกันครับ
สวัสดีครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สัมภาษณ์คุณนะ Dagny และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน จึงอยากขอให้คุณแนะนำตัวเองและผลงานก่อนหน้าสักหน่อย
สวัสดีค่ะ เป็นเกียรติที่ได้ให้สัมภาษณ์กับคุณเช่นกันนะคะ ฉันชื่อว่า Dagny มาจากประเทศนอร์เวย์ (เมือง Tromsø) ฉันเป็นศิลปินเพลงป็อป และก็กำลังจะปล่อยอัลบั้มที่ 2 “ELLE” ต่อจากอัลบั้มแรกในปี 2020 อย่าง “Strangers / Lovers” ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ค่ะ ฉันมีประสบการณ์ทัวร์คอนเสิร์ตระดับสากล และแต่งเพลงทั้งของตัวเองและศิลปินอื่นมากมายเลยค่ะ ฉันเคยแต่งเพลงให้ “Katy Perry,” “Kygo,” “Steve Aoki,” “Ashnikko” หรือกระทั่งนักร้องชาวไทยอย่าง “สิงโต นำโชค” ที่ได้เจอกันที่ Karma Studios ก็เคยนะคะ ประเทศไทยพิเศษสำหรับฉันเสมอมาค่ะ!
คุณช่วยเล่าถึงคอนเซปต์โดยรวมของอัลบั้มนี้หน่อยได้ไหม มันมีอะไรที่ต้องการจะสื่อเป็นพิเศษไหม?
ฉันต้องการตั้งชื่ออัลบั้มที่ 2 ของฉันว่า “ELLE” เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีความหมายว่า “เธอ” (she) เพราะต้องการให้ตัวฉันได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทั้งทางอารมณ์และเรื่องราวต่างๆ การตั้งชื่อแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้ง่ายขึ้นมากเลย แต่ฉันก็คิดว่าเนื้อเพลงบางส่วนในอัลบั้มนี้มีความเป็นตัวฉันสูงมากเลย จริงๆ นะ มันมีส่วนผสมของหนังแนวโรแมนติก-คอเมดีอยู่ด้วย เราต้องฝ่าฟันความรู้สึกต่างๆ ทั้งหมดนี้ไปก่อน แล้วพอถึงจุดสูงสุด มันก็จะมีความโรแมนติกแบบไม่ค่อยมีหวังอยู่ตรงนั้น สำหรับฉัน นั่นแหละคือความเป็น “ELLE”
ซิงเกิลก่อนหน้านี้อย่าง “Heartbreak in the Making,” “Same Again (For Love)” และ “Ray-Bans” มีความเชื่องโยงหรือแตกต่างกันไหม? อย่างไร?
ขณะกำลังเขียนอัลบั้มนี้ ฉันตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของฉัน อย่างครั้งหนึ่ง ฉันหวนนึกถึงยุค 90 (ทศวรรษที่ฉันเกิด) เมื่อใช้เวลานานนับชั่วโมงไปกับการฟังวงอินดี้วงโปรดอย่าง “Cardigans” แล้วตอนนั้น มันก็เป็นความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมาก มันเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของฉันในตอนนั้นเลย ซึ่งคุณสามารถสังเกตอิทธิพลของเพลงอินดี้แบบนั้นได้ในเพลงอย่าง “Heartbreak in the Making,” “Ray-Bans” หรือ “Somebody’s Baby” แล้วฉันก็ยังได้รับแรงบันดาลใจจากวงการเพลงซินธ์-ป็อปด้วยนะ อย่างที่คุณได้ยินในเพลง “Strawberry Dream” และ “Same Again (For Love)” นั่นแหละ ทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางหรือตัวตนของฉันเลย และอัลบั้ม “ELLE” ก็เช่นกัน
จุดเริ่มต้นของเพลง “Strawberry Dream” มีที่มาอย่างไรบ้าง?
จุดเริ่มต้นของเพลงนี้เกิดขึ้นระหว่างฉันแต่งเพลงอยู่ที่ Drammen (ในนอร์เวย์) ตอนนั้นฉันกลับเข้าไปที่สตูดิโอพร้อมกับ “Cato” และ “Kent Sundberg” (Rat City) เรากำลังแต่งเพลง “Somebody” และ “Brightsider” อยู่ด้วยกัน และมันก็เป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้วที่เราไม่ได้แต่งเพลงด้วยกันแบบนั้น ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก แล้วพอ “Nick Hahn” มาก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก เราแต่งเพลง ดื่มไวน์ เล่นน้ำแข็ง และเข้าซาวนาด้วยกัน เราชอบทำกิจกรรมเหล่านี้ร่วมกันมาก แล้วเพลง “Strawberry Dream” ก็เกิดขึ้นตรงจุดนี้แหละ ฉันรู้ว่ามันอาจจำเจ แต่เหมือนกับว่า เพลงนี้มันแต่งขึ้นมาด้วยตัวมันเองเลยนะ!
แล้วเนื้อหาของเพลง “Strawberry Field” เกี่ยวกับอะไรล่ะ?
ถ้าเราอยู่ในหนังโรแมนติก-คอเมดีสักเรื่องหนึ่ง “Strawberry Dream” ก็คงจะเป็นเพลงประกอบฉากที่ตัวละครหลักตระหนักได้ว่า “พระ/นางเอกของเขา” คอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอมา อยู่ใกล้ตัวเลยแหละ แต่ไม่เคยคิดถึงจนกระทั่งวันนี้ ซึ่งมันคล้ายกับตัวละครจากหนังเรื่องโปรดของฉันอย่าง “Bridget Jones” (นางเอก) และ “Mark” (พระเอก) เลยนะ เคยมีคนพูดว่า 70% ของคนทั่วไป พบคู่ชีวิตของตัวเองก่อนอายุ 21 ปี นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉันมากเลยนะ พอฉันรู้แบบนี้เข้า ฉันก็รีบไปหยิบขนมโปรดของฉันอย่าง “Strawberry Dream” มากินเลย จนกว่าจะกลายเป็นเพลง “Strawberry Dream” ขนมนี่ก็หมดไป 400 ชิ้นแล้ว
ถ้าคุณต้องนิยามความรักด้วยคำ 3 คำ ความรักนั้นจะเป็นอย่างไร?
ขอ 4 คำแล้วกันนะ “Love You Like That”
แล้วในแง่ของเครื่องดนตรีล่ะ? คุณใช้เครื่องดนตรีอะไรบ้างในเพลง “Strawberry Field”
“Strawberry Dream” จะเน้นไปที่คีย์และซินธ์มากกว่า ฉันเรียกเพลงนี้ว่าเป็น ความสามารถพิเศษของวง “Rat City” เลยนะ แต่ก็มีเพลงอื่นในอัลบั้มที่เน้นเครื่องดนตรีและมีเสียงที่เป็นธรรมชาติอยู่เหมือนกัน ฉันได้นักดนตรีฝีมือดีหลายคนมาร่วมทัวร์กับฉันตลอด จนฉันรู้สึกว่า เราเป็นเหมือนวงดนตรีมากกว่าศิลปินเดี่ยวด้วยซ้ำ ดังนั้น ฉันจึงได้แรงบันดาลใจจากการเล่นสดร่วมกับพวกเขาเหล่านี้ไปใช้ตอนอัดเพลงนี้ด้วย
คุณรู้ไหมว่า ถ้าเราพูดถึงศิลปินจากนอร์เวย์ คนไทยมักจะคิดถึงแต่วงเมทัลนะ (ถ้าไม่นับวง A-Ha) แล้วตอนนี้วงการดนตรีในนอร์เวย์เป็นอย่างไรบ้าง?
ที่จริงแล้ว เรามีศิลปินที่มีความสามารถจากหลากหลายแนว ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นป็อป ฮิป-ฮอป แจ๊ซ เมทัล หรืออัลเทอร์เนทีฟ แต่ในแวดวงเพลงป็อป เราก็จะได้เห็นศิลปินเจ๋ง ๆ อย่าง “Sigrid,” Aurora,” “Alan Walker” และ “Kygo” ที่สามารถไปไกลถึงระดับสากล ส่วนในวงการเมทัล ก็มีความนานาชาติไม่ต่างกันเลย มันเป็นอย่างนี้มาหลายทศวรรษแล้ว จนบางวงนี่ดังในระดับโลกมากกว่าในประเทศอีกนะคะ ดังนั้น ฉันจึงไม่แปลกใจเลย หากคนไทยจะมองว่าเพลงนอร์เวย์มักเป็นเพลงเมทัล ฉันว่ามันเจ๋งดีนะ!
คุณช่วยแนะนำศิลปินจากนอร์เวย์ ที่มีสไตล์คล้ายกับคุณหน่อยได้ไหม?
ฉันคงเลือก “Sigrid,” “Astrid S” และ “Skaar” ค่ะ ลองฟังเพลงของพวกเขาดู แล้วคุณจะได้หลงไปในวังวนแห่งดนตรีนอร์เวย์!
สุดท้ายนี้ ฝากอะไรเกี่ยวกับอัลบั้ม “ELLE” ถึงแฟนๆ ชาวไทยหน่อย
แม้ว่าจะใช้เวลานานในการทำอัลบั้มนี้ แต่ในที่สุด ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมากที่ทุกคนจะได้ฟังอัลบั้ม “ELLE” สักที ฉันหวังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับอัลบั้มนี้ เหมือนกับตอนที่ฉันตั้งใจทำมันนะ! ขอบคุณสำหรับความรักและแรงสนับสนุนที่มีให้กันนะคะ และฉันหวังว่าจะได้ไปเที่ยวและแสดงที่เมืองไทยเร็วๆ นี้นะคะ ขอบคุณค่ะ
ขอขอบคุณ : คุณน้ำหนึ่ง Universal Music Thailand ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์มา ณ ที่นี้