การสร้างริฟฟ์ โซโล่ ในดนตรีจริงๆ หลักการที่ต้องรู้มันแทบจะเป็นสิ่งง่ายๆ เลย ของวิเศษ 3 อย่างนั้น มีชื่อว่า Chord Scale และ Arpeggio ถ้าเรารู้จักความสัมพันธ์ของทั้ง 3 สิ่งนี้ เราจะสามารถแต่งเพลง สร้างท่อนโซโล่หรืออะไรก็แล้วแต่ได้อย่างง่ายดาย จะแกะเพลงก็ง่ายขึ้นมาก ซึ่งในความเป็นจริงความรู้ในทั้ง 3 อย่างนี้จะพูดว่าซับซ้อนก็ได้ และอันที่จริงมันก็อาจจะไม่ซับซ้อน “ถ้า” หูของเรา สามารถแยกแยะเสียงของทั้ง 3 สิ่งนี้ได้ มีศิลปินหลายคนที่ไม่ได้เก่งทฤษฎีดนตรีเลย แต่สามารถสร้างงานเพลงได้ เพราะพวกเขาสามารถแยกความแตกต่าง ของทั้ง 3 สิ่งนี้ได้ ซึ่งพวกเราเองก็ทำได้ เอาล่ะเราลองมาเรียนรู้อะไรง่ายๆ กันดีกว่า กับแบบฝึกหัดที่จะสอนต่อไปนี้
Ex.1 Major, minor, Dominant 7 Chord
ขั้นแรกเราใช้คอร์ดที่จะทดลองเป็นคอร์ด E เราจะเรียกว่า Tonal E ก็แล้วกัน ลองดู 3 คอร์ดนี้ E, Em, E7 (ชื่อแบบเต็มยศก็คือ Dominant 7) สิ่งที่ต่างออกไปมากกว่ารูปแบบการจับคือเสียง ให้ลองเล่นแล้วสังเกตเสียงดู จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันเยอะ นั่นคือเสียง Tonal โดยรวมของแต่ละคอร์ด
Ex.2 Major, minor, Dominant 7 Scale
ขั้นต่อมาก็คือ Scale ตัว Scale คือโน้ต 7 เสียงที่เรียงต่อกัน มันสามารถสร้างเมโลดี้ได้ โดยสัมพันธ์กับคอร์ด คราวนี้เราลองมาฝึก “ทางนิ้ว” และ “ฟังเสียง” ของโน้ตในแต่ละสเกล เราจะให้ทางนิ้วของ E Major Scale, E minor Scale, E Dominant Scale (ตามทฤษฏีเรียกว่า Mixolydian ถ้าอธิบายตอนนี้อาจจะงง เอาเป็นว่าเล่นตามทางนิ้วที่ให้มาก่อน) ให้ลองไล่สเกล แล้วดูจุดที่แตกต่าง (โน้ตที่แตกต่างอยู่ใน ()) แล้วลองฟังเสียง จากนั้นลองตีคอร์ด E, Em, E7 แล้วเล่น Scale ตาม ก็จะเห็นว่าเสียง มันสัมพันธ์กัน พอคล่องลองทำแบบนี้ ตีคอร์ด E แล้วลองเล่น E minor Scale เพื่อสังเกตุ “ความไม่สัมพันธ์กัน” ของเสียง จะทำให้จำความแตกต่างได้ง่ายขึ้น
Ex.3 Major, minor, Dominant 7 Arpeggio
จากนั้นให้ลองฝึกโดยเล่นเฉพาะตัวที่ 1-3-5-7 ของ Scale ตรงนี้จะเป็นเสียงที่เรียกว่า Arpeggio เมื่อแยกออกมาจะเห็นความชัดเจนของเสียงมากขึ้น โน้ต 4 ตัวนี้ จะสามารถใช้เป็นโน้ตหลักๆ ในการสร้างท่อนต่างๆ ในดนตรีได้ ลองฝึก “เล่น” “ฟัง” “สังเกต” ความแตกต่างของทั้ง 3 อย่างนี้
Ex.4 On Beat
จากนั้นลองฝึกเล่นโน้ต On Beat โน้ต On Beat คือการเล่นในจังหวะตกของทุกบีทใน 1 ห้อง ซึ่งตรงนี้จะเป็น ธรรมชาติของการเล่นดนตรีอยู่แล้ว ลองเล่นเป็นเขบ็ต 1 ชั้นลองดีดทุกตัว
Ex.5 Back Beat
สิ่งที่ทำให้เกิดสีสันก็คือว่างเปล่า (แหม่ ปรัชญามาก) หลังจากที่เราลองเล่นแบบ On Beat คราวนี้เราลองหยุด ดีดที่จังหวะตก แล้วดีดที่จังหวะยกจะเห็นว่าความรู้สึกจะขัดๆ ฝืนๆ ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า Syncopation ลองเล่นสลับกับการเล่น On Beat จะทำให้เข้าใจเรื่อง Rhythm มากขึ้น
Ex.6 ปิ้งย่าง
คราวนี้เอาเพลงง่ายๆ มาเล่นเป็น Intro ของวงน้องๆ Sweat 16 ในเพลงปิ้งย่างมาให้เล่น เพลงนี่ Tonal รวมๆ จะเป็นโน้ตใน E7 ซึ่งลองใช้ทางนิ้วของทั้ง Scale และ Arpeggio มาผสมกัน รวมถึงการเล่น On Beat และ Back Beat มาใช้ ลองวิเคราะห์ดูว่า อันไหนเป็นอันไหน จากนั้นลองเปลี่ยนทางนิ้วเป็น E Major, E minor โดยใช้รูปแบบจังหวะแบบเดิม จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของเสียง อารมณ์ และเป็นการฝึกการวิเคราะห์ และแยกแยะเสียงอย่างที่บอกตอนต้นอีกด้วย