อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักดนตรี สกิลความสามารถเหรอ หรือการเป็นคนอารมณ์ดี อ่อนน้อม ความรู้เหรอ หรือการเพอฟอร์มที่โดดเด่น สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะเป็นส่วนประกอบของสิ่งสำคัญที่เรียกว่า “โอกาส” ใช่แล้ว โอกาส นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด การที่เราจะได้ไปแสดงผลงาน สิ่งสำคัญมากๆ ก็คือการคว้าโอกาส หลายคนกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี หลายคนไม่พร้อม แต่โอกาสมันไม่สนว่าคุณจะพร้อมหรือไม่พร้อม คำถามของมันก็คือคุณจะคว้าหรือไม่ “กานต์ อ่ำสุพรรณ” มือกลองจากวงดนตรีชื่อ Potato เราได้เห็นฝีมือของเขากันอยู่แล้ว เส้นทางที่เขาเดินมานั้นมันจะโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือไม่ เขาไม่รู้ เขารู้อย่างเดียวว่าเมื่อมีโอกาสมาอยู่เบื้องหน้า สิ่งที่ต้องทำคือคว้ามันมาซะ นี่คือเส้นทางชีวิตของอีกหนึ่งนักดนตรีที่เป็นไอดอลของเด็กเล่นกลองในยุคนี้ กานต์ Potato

จุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรี
กานต์ : ตอนแรกสุดผมไม่ได้สนใจดนตรีเลย ตอน ม.ต้น ก็แบบฟังเพลงบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนพอขึ้น ม.ปลาย ผมเจอเพื่อนคนนึง ซึ่งจริงๆ เราก็รู้จักกันตั้งแต่ประถมแล้ว ผมก็มาเจอเพื่อนผมคนนี้อีกรอบ ซึ่งรอบนี้เพื่อนผมมันเล่นกีตาร์เป็น เราก็แบบ เฮ้ย! เล่นเป็นด้วยเหรอวะโคตรเท่เลย สอนหน่อย ประกอบกับที่ชมรมดนตรีรุ่นพี่ผมเขาเปิดวิดีโอม้วนนึงคือ Last Live ของ X Japan ก็เปิดโลกผมเลย คือเรารู้สึกว่ามันสุดๆ มากซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ ผมเลยเริ่มสนใจดนตรีจริงจังขึ้น พอมาถึงตรงนี้ผมก็คิดว่าถ้าเราเริ่มสนใจจริงจัง เราต้องคงเรียนดนตรีก็เลยเริ่มต้นด้วยการเข้าวงโยธวาฑิต ตอนแรกเลยผมเล่น Trombone เพราะอาจารย์เขาก็อยากจะให้เรียนรู้เรื่องพวกค่าโน้ตอะไรแบบนี้ครับ ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มสนใจพวกกลองอยู่นะ แต่คือผมชอบ X Japan เพราะฮิเดะไง (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นฮีโร่ดนตรีคนแรกของผมเป็นเลยเป็นมือกีตาร์ก่อน (หัวเราะ)
แล้วเริ่มตีกลองได้ยังไง
กานต์ : ก็พอเราเข้าวงโยฯ เจอเพื่อนเล่นกีตาร์เราก็ให้เขาสอนแบบงูๆ ปลาๆ เจอรุ่นพี่ที่ชอบ X Japan แล้วก็เริ่มมีความสนใจกลองนิดๆ คราวนี้พอถึงเวลาเราก็อยากจะเล่นเครื่องดนตรีจริงๆ แล้ว ก็เลยไปกับเพื่อน 2 คนไปเช่าห้องซ้อมที่กำแพงเพชร (กานต์เรียนที่จังหวัดกำแพงเพชร) 150 บาท ชั่วโมงนึง เล่นเพลงของลาบานูน แต่ไม่บอกชื่อเพลงนะเดี๋ยวโดนฟ้อง (หัวเราะ) ตอนไปซ้อม ผมไปเล่นกีตาร์ไฟฟ้า ไปเล่นแล้วมันยังไม่ใช่ รู้สึกยังไม่ตอบโจทย์เรา ก็เลยเดินไปที่กลองชุดพอหลังจากนั้นก็ยาวเลย จากห้องซ้อมวันนั้นผมก็มาทางกลองเต็มตัวเริ่มศึกษาจากวิดีโอ จากรุ่นพี่ เพราะยุคนั้นไม่มี YouTube ก็ต้องครูพักลักจำเอา
ออกงานครั้งแรก
กานต์ : ก็เป็นงานในโรงเรียนเรียกว่าเล่นเพลงตลาดให้กลายเป็นเมทัลได้ (หัวเราะ) เอามันอย่างเดียว เอาเร็วไว้ก่อนก็เลยออกมาเละๆ นิดนึง (หัวเราะ) แต่ช่วงนั้นผมแบบ J Rock จ๋าๆ เลยนะอยากเป็นโยชิกิ เป็นแบบพวก L’arc en Ciel, Luna Sea จนกระทั่งมีเพื่อนผมคนนึงเป็นผู้หญิงด้วย เขาหยิบ Slipknot มาให้ฟัง ปกแดงมาเลย (หัวเราะ) เราก็แบบ โอโห เปิดโลกใบที่ 2 คือของ X Japan คือจะเร็วอย่างเดียวถ้าพูดตรงๆ เทคนิคจะไม่เยอะเหมือน Slipknot

ก็เลยฝึก 2 กระเดื่องจากตอนนั้น
กานต์ : แต่วิธีฝึก 2 กระเดื่องของผมก็จะแปลกๆ หน่อย เพราะด้วยความที่เราก็โรงเรียนบ้านนอก ที่โรงเรียนก็จะมีกลองชุดเก่าๆ อยู่ ซึ่งผมก็เอากระเดื่อง 2 ชุดมาต่อกัน (หัวเราะ) คือเหยียบให้มันพอรู้ฟิล จนมาตีจริงจังช่วง มหาวิทยาลัยปี 1 ผมเรียนที่ ม.ราชภัฎบ้านสมเด็จ เราก็ได้เจอเพื่อน เจอรุ่นพี่ ก็เริ่มมีพวก Mr.Big มี Dream Theater ผมจะได้วิธีการคิดลูกกลองจาก Dream Theater เยอะมาก ผมใช้เพลงของ Dream Theater เป็นแบบฝึกหัดเลย
ชิวิตมหาวิทยาลัยดนตรีเป็นยังไงบ้าง
กานต์ : คือตอนผมมาสอบ ผมมาสอบโควตาก็เอาวิชาตีกลองชุดมาสอบ ซึ่งตอนนั้นเขาไม่มีเรียน ไม่มีสอนกลองชุด มีแต่พวก Percussion ซึ่งผมก็ตีไม่เป็นนะ มองไปรอบๆ แต่ละอย่าง โอโห อะไรเนี่ย (หัวเราะ) อาจารย์เขาก็ถามผมว่าตีเป็นมั้ย ผมก็บอกว่าเป็นไว้ก่อน (หัวเราะ) คราวนี้พอสอบเข้าไปได้แล้วก็เลยไปขออาจารย์ว่าขอเปลี่ยนเป็น Trombone ได้ไหม (หัวเราะ) ผมตี Percussion ไม่ได้ พอมาเรียนอาทิตย์แรกผมเห็นบรรยากาศห้องซ้อมของสายเครื่องเป่าวงโยฯ แล้วไม่ค่อยชอบ คือมันแข่งขันกันเยอะ พอดีผมเห็นเพื่อนคนนึงเดินถือกล่องไวโอลินมา ผมก็ถามว่าเฮ้ย! เล่นเป็นเหรอ มันก็บอกไม่เป็นหรอก เขาก็มาเริ่มที่นี่ทั้งนั้นแหละ ผมก็เลย อาจารย์ครับ ขอย้ายเครื่องไปไวโอลิน (หัวเราะ) ก็เลยอยู่เครื่องเอกไวโอลิน ตั้งแต่ตอนนั้น บางคนที่อยู่ในวงการดนตรีตอนนี้ก็เรียนเครื่องสายทั้งนั้น (หัวเราะ) ซึ่งผมได้เจอเพื่อนที่เป็นเหมือนผมนี่แหละ เลยตั้งวงกันไปประกวดวงดนตรี

แต่กานต์เริ่มชีวิตนักดนตรีกลางคืนค่อนข้างเร็ว
กานต์ : ก็รุ่นพี่ผมที่มาจากกำแพงเพชรด้วยกัน เขาเล่นกลางคืนกันอยู่แล้ว ก็เลยมาชวนผมให้ไปเล่นแทนก่อน ซึ่งผมไม่เคยเล่นบนเวที ก็ทำได้ไม่ค่อยดีพูดกันตรงๆ แต่ก็จะได้ประสบการณ์การตีกับ Metronome ตีกับ Hard Disk ได้จากตรงนี้เต็มๆ คือจากตรงนี้ ผมก็เริ่มที่จะคิดเรื่องเล่นดนตรีกลางคืนจริงจังแล้ว ก็เริ่มฟอร์มวงกับเพื่อนๆ เริ่มมีการย้าย เปลี่ยนวงตามวิถีชีวิตนักดนตรี ผมเล่นที่แรกคือ อ.ต.ก วันแรกไปเล่นก็ตีกันแล้ว (หัวเราะ) หัวมาโขกตรง Hi Hat ผมเลย เลือดมาเต็ม Hi Hat โคตรร็อค (หัวเราะ) พอผมมาเรียนช่วงปี 3 พวกไวโอลินก็ไม่ได้จับแล้ว เพราะผมเริ่มเล่นกลางคืนเยอะ ผมได้เล่น 7 วัน คือเล่นมาเรื่อยๆ และทำวงประกวดบ้าง
จุดเปลี่ยนชีวิตอยู่ช่วงนี้
กานต์ : ใช่ครับ คือตอนเล่นกลางคืนผมสนิทกับพี่ตี๋ วง Monkey Act มาก ขนาดที่ไปเล่นต่างที่ ต้องกลับมานัดแวะดื่มกัน (หัวเราะ) จนพี่ตี๋แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่หั่ง เพราะ 2 คนนี้เขารู้จักกันมานานแล้ว ก็เลยได้เจอพี่หั่งเป็นครั้งแรก พี่ตี๋ก็แนะนำว่าหั่งเป็นโปรดิวเซอร์ Potato ณ ตอนนั้น ผมก็แบบเอนเตอร์เทนพี่เค้าเต็มที่ เพราะตอนนั้นผมมีเดโม่เพลงที่ผมทำอยู่ไง (หัวเราะ) ผมก็ยื่นให้พี่หั่ง ซึ่งล่าสุดพี่หั่งแกเก็บบ้านแล้วเจอเดโม่วงผมแกก็บอก เฮ้ย! พี่ยังไม่ได้แกะฟังเลยว่ะ พี่ขอโทษ (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไรแล้วครับพี่ (หัวเราะ)
จุดเริ่มต้นของ กานต์ Potato
กานต์ : ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าเรื่องของสังคมก็มีส่วน คือเวลาเราทำให้ใครนึกถึงเราได้มันก็จะได้เปรียบ มันก็เริ่มจากช่วงนั้นผมไปตีแทนตอนทัวร์ก่อน พี่หั่งเขาถามพี่ตี๋ว่าพอมีมือกลองไหมไปตีให้ก่อนสัก 10 งาน พี่ตี๋ก็แนะนำผมไป ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณพี่ตี๋มากๆ เลยที่ให้โอกาสผม ซึ่งตอนผมไปตีให้ Potato ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ไปแทนก็คือแทน ถ้าไม่ตรงวันเล่นกลางคืนผมก็ยังกลับไปเล่นกลางคืนต่อ จนข่าวมันเริ่มเยอะว่าพี่บ๋อมจะออกจริงๆ ผมก็เลยถูกชวนเข้ามา

ตัดสินใจนานมั้ย
กานต์ : ไม่นานครับ เพราะโชคดีที่ว่าตอนนั้นผมเรียนจบพอดี มันเป็นช่วงที่ผมรอรับปริญญา แล้วจังหวะทุกอย่างมันเข้ามาหมด ผมไม่เคยคิดว่าผมเก่งแต่ผมแค่โชคดี เหมือนเพลงของ Potato ล่ะครับ…ดวง (หัวเราะ)
ตอนไปที่ Grammy ครั้งแรกรู้สึกยังไง
กานต์ : ก็แบบที่พี่หั่งจะเล่าในช่วงหลังๆ ที่พี่นิคบอกแกว่าเอาตัวเหี้..อะไรมาเนี่ย (หัวเราะ) แต่มองย้อนกลับไป ผมก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นะคือสภาพผมแบบนักดนตรีกลางคืน อ้วนๆ บวมน้ำ บวมเบียร์ หนักเป็น 100 โล แล้วเราต้องมาอยู่วงนายแบบ ผมทำวงเขาหมองเลยนะ (หัวเราะ)
กดดันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงตอนนั้นขนาดไหน
กานต์ : จริงๆ ข่าวข่วงนั้น ผมก็ต้องบอกว่าโดนเจ็บอยู่เหมือนกันนะ แต่มันยังไม่ได้มีกระแสโซเชี่ยลหนักเหมือนวันนี้เลยโชคดีกว่าหน่อย พี่หั่งโดนหนักกว่าผมเยอะนะ (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นทำเอาผมก็เลิกเล่น Hi5 ไปพักนึงเลย เพราะมีแต่คนบอกว่ามึงไม่เหมาะหรอก ออกเหอะ (หัวเราะ)
แต่จากเพลง “ยื้อ” ทำให้ชื่อ กานต์ Potato ได้รับการยอมรับมากขึ้น
กานต์ : คือเพลงนี้พี่ฟองเบียร์บอกว่าเราจะได้ทำเพลงประกอบหนัง เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกที่จะมาอยู่ genie แล้วก็เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวผมอย่างเป็นทางการ ผมก็ซัดเต็มข้อเลย (หัวเราะ) อัลบั้ม Circle เป็นอัลบั้มที่ค่อนข้างจะปล่อยของ เพื่อให้คนรู้ว่าวงเราเปลี่ยนยังไงบ้าง ตอนนั้นผมก็ทำเพลงอยู่กับพี่หั่ง พี่วิน คือไอเดียเรามา เรากำลังไฟแรง แล้วพอได้อิสระแบบไม่ต้องตัดอะไรเลย จนเพลง “ยื้อ” พี่หั่งบอกว่างั้นเพลงนี้ลองไม่อัดกับเมโทรนอมเลยมั้ย (หัวเราะ) ผมก็อัดเลย ก็กลายเพลงมาสเตอร์แบบที่ได้ยิน ปัญหาก็คือตอนหลังเวลาเอาไปเล่น มันทำซาวด์ลง Hard Disk ไม่ได้ เพราะเมโทรนอมมันไม่ตรง มันวางยาก ก็เลยตัดปัญหาโดยการไม่เล่นดีกว่า เหนื่อยด้วย (หัวเราะ) พี่หั่งบอก ต่อไปเราไม่ทดลองแบบนี้ดีกว่า (หัวเราะ) แต่พี่โอมชอบ เพราะมันนัวได้ (หัวเราะ)
จนได้ฉายาว่า โจอี้ Slipknot เมืองไทย
กานต์ : โอโห กดดันโคตร (หัวเราะ) คือผมโชคดีที่เรามีสิ่งที่อยากนำเสนอ แล้วก็ได้มีโอกาสนำเสนอ ผมรู้สึกดีนะเวลาที่มีคนเดินมาบอกว่าเล่นดนตรีเพราะตัวผม เวลาที่เราเองหมดไฟ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงตัวผม มันทำให้ผมต้องฝึกเพิ่มและทำงานดีๆ ออกมา

มุมมองของกานต์ Potato ในปัจจุบัน
กานต์ : มุมมองผมเปลี่ยนจากเดิมเยอะ มันมีช่วงนึงที่ผมเป็นโรคที่คนทั่วไปเรียกว่าโรคร็อคสตาร์ (หัวเราะ) แบบดังแล้วมีคนชอบ มันมีช่วงแบบนี้คือรู้ว่า เฮ้ย! กูต้องการความเป็นส่วนตัว ขนาดนั้นเลย กับคนไม่รู้จักเวลาเข้ามาเยอะผมจะไม่ชอบ แต่เดี๋ยวนี้สบายแล้ว ถ้าเราไม่ไหวหรือเหนื่อยจริงๆ ก็จะบอกกับเขาตรงๆ คือแฟนๆ ก็อุตส่าห์มาดูเรา ตั้งใจมาดูเรา ถึงเขาอาจจะพูดจาไม่ค่อยดี แต่เขาก็มาดูเรา คิดในมุมที่แฮปปี้ไว้ก่อน พอเวลาเราเล่นจริงๆ เราจะได้ส่งแต่สิ่งดีๆ กลับไปให้คนดู เราแฮปปี้คนดู ก็แฮปปี้ ผมเคยคิดแบบมาตีกลองแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้ตังค์แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว คนอุตส่าห์มาดูเรา แฟนเพลงทำขนมมาให้ เขาใส่ใจเรา เราก็ต้องให้สิ่งดีๆ กลับไป
ตอนนี้กานต์มีวิธีซ้อมกลองยังไง
กานต์ : ตอนนี้ผมกลับไปซ้อมเหมือนในอดีตคือผมจะซ้อมกลองกับการแกะเพลง ลูกฝึก ลูกส่งในเพลง ผมได้ไอเดียจากการแกะเพลงมาก Dream Theater, Slipknot ผมอยากได้ลูกสไตล์ไหนก็จะแกะเพลงแล้วแยกออกมาฝึก
อุปกรณ์ที่กานต์ใช้
กานต์ : หลักๆ เป็นฉาบ Zildjian ของทางธีระมิวสิคครับ แล้วก็ Pearl ของแต้เซ่งฮง ครับ
พูดถึง Zildjian ซึ่งเป็นเครื่องทองเหลือง คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่าต่างกันยังไง แล้ว Zildjian มีความพิเศษยังไง
กานต์ : พวกเครื่องทองเหลืองแต่ละแบรนด์มันจะมีความเงาความด้านแตกต่างกัน ที่ผมเลือก Zildjian เพราะคาแร็กเตอร์ชัดเจน มีนู่นนี่นั่นผสมกันได้ แล้วผมเป็นคนชอบ ครีเอทให้มันสนุกก็เลยมีอะไรให้เล่นเยอะ แล้วก็เหมาะกับแนวเพลงของวงด้วย ตอนนี้ผมใช้ K Sweet 18” 19” ที่เป็นฉาบหลักๆ ซึ่งใช้แล้ววงแฮปปี้มากเพราะเสียงไม่แทงหู แล้วก็คุมไดนามิกได้ง่ายขึ้น
แล้วกับการกลับมาเล่นกีตาร์อีกครั้งของกานต์
กานต์ : ผมกลับมามีไฟ ในการเล่นดนตรีอีกครั้ง ไม่ใช่แค่กีตาร์แต่หมายถึงการเล่นทุกอย่าง ผมได้ไฟในการอยากจะเล่นดนตรีเหมือนตอนเด็กๆ คืนมา เพราะต้นปีผมได้มีโอกาสไปสุสานของฮิเดะ แล้วทำให้เกิดมีไฟขึ้นมา ซึ่งช่วงนี้ก็จะซ้อมดนตรีมากขึ้นครับ

จากเด็กที่ชอบดนตรีกลายมาเป็นไอดอลให้กับนักดนตรี กานต์มาไกลกว่าที่ฝันไว้มาก วางแผนในชีวิตนักดนตรีอย่างไรต่อจากนี้
กานต์ : ผมว่าสิ่งที่ทำได้คือเราต้องสร้างเพลงดีๆ ให้คนฟังไปเรื่อยๆ ผมยังไม่อยากเลิกเล่นดนตรี ผมจะเล่นจนกว่าจะเล่นไม่ไหว เพราะมันเป็นอาชีพเดียวที่เราทำได้ดี คือไม่ใช่เก่งนะ แต่เป็นอาชีพที่เราทำได้ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ผมว่ามันดีมากนะที่เรารักดนตรีแล้วได้มีอาชีพเป็นนักดนตรี โคตรแฮปปี้เลย เราสามารถใช้เวลาชั่วโมงครึ่งสร้างความสุขให้คนได้ด้วยดนตรี ผมว่ามันเจ๋งมาก
จากที่เราได้พูดคุยกันมากานต์เป็นคนที่ไม่เคยลังเลที่จะเข้าหาโอกาส อยากให้ฝากเรื่องนี้กับน้องๆ นักดนตรีสักหน่อยครับ
กานต์ : ผมว่าโอกาสที่เข้ามาเราต้องรีบคว้าไว้ก่อน ผมยกตัวอย่างตอนนี้เราเล่นดนตรีแล้วอาจจะมีวงอินดี้เล็กๆ ชวนเราไปเล่น เราลุยไปก่อนเลย ลองดู สักวันมันอาจจะดังก็ได้ เพราะมันอยู่ที่ตัวเราทำ ไม่ใช่ว่าวงเล็กหรือวงใหญ่แค่ไหน เหมือนคนทำงานบริษัท เรียนจบมาเราก็ต้องคว้าไว้ก่อน โอกาสมันไม่ได้มาบ่อยๆ ใช้สติคิดแล้วลุย พยายามวิ่งเข้าหาทุกโอกาส บางโอกาสเราจะรู้ด้วยตัวเราเองว่ามันใช่หรือไม่ใช่ แต่ทุกโอกาสมันดีสำหรับตัวเราแน่ๆ ไม่มากก็น้อย
ฝากอะไรถึงมือกลองที่เป็นแฟนคลับ “กานต์ Potato” หน่อย
กานต์ : ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่มีคนมาบอกว่า “ผมเล่นดนตรีได้เพราะพี่” ผมว่ามันเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ก็อยากจะให้ทำมันต่อไปครับแล้วตัวผมเองก็จะทำให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังและขอบคุณที่ให้โอกาสกันเสมอมาครับ
ขอขอบคุณ : พี่แป๋ว ธีระมิวสิค ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ครับ




































