ปัจจุบันบ้านเรามีบุคลากรทางดนตรีมากมาย และแทบจะครบทุกสไตล์ด้วยซ้ำ ซึ่งแต่ละคนมีแนวทางที่ต่างกันไป หนึ่งในบุคลากรเหล่านั้นมีคนนึงที่น่าสนใจที่เรามักจะเห็นชื่อของเขาในระยะหลังๆ “เมฆ Machina” หรือสุขุม อิ่มเอิบสิน ถ้าใครติดตามในแวดวงของ EDM อยู่ ชื่อนี้จะเป็นทั้งศิลปิน DJ โปรดิวเซอร์ที่มีผลงานน่าสนใจ และโดดเด่นมากๆ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมฆจับงานเพลงในสไตล์ป็อปหรือเพลงที่แปลกๆ ขายไอเดียอย่างผลงานของ “เป้ อารักษ์” ที่เขาเหมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ มุมมองจากเซียนสายอิเล็กทรอนิกส์มิวสิค มุมมองการทำงานเพลงในยุคที่ซาวด์ดีไซน์เป็นเรื่องสำคัญ เมฆ จะมีความรู้อะไรมาแบ่งให้พวกเราได้ทราบกันบ้าง ลองไปทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้กัน
เริ่มสนใจดนตรีได้อย่างไร
เมฆ : แรกสุดคือครอบครัวผมไม่มีใครสนใจดนตรีเลย มันต้องเริ่มจากผมได้ยินเพลงจากวิทยุตอนที่แม่ผมเปิดในรถ ผมเริ่มรู้สึกสนใจ แล้วเราดูทีวีมันได้เห็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “กีตาร์” หรือพวกเครื่องดนตรี ตอนนั้น ป4-ป5 รู้สึกว่ามันเท่จัง ก็เลยอยากขอที่บ้านเรียนดนตรี ยุคที่ผมอยากเริ่มเรียนดนตรีเล่นกีตาร์คือช่วง Bodyslam ชุด Believe กับ Big Ass ชุด Seven เอาเป็นว่าผมซื้อ Schecter เพราะใครคงไม่ต้องเดาล่ะ (หัวเราะ) คราวนี้พอเริ่มขึ้น ม.ต้น ผมก็เริ่มเป็นชาวร็อค เริ่มเล่นเพลงหนักขึ้นเล่นพวก Bullet For My Valentine อะไรทำนองนี้ก็ฟอร์มวง จนจุดเปลี่ยนคือตอนนั้นมีหนังเรื่อง Season Change ก็ได้เห็นว่าเค้ามีมหาวิทยาลัยดนตรีด้วย เราสามารถไปต่อมัธยมที่มีการเรียนดนตรีได้ ก็เลยขอที่บ้านว่าจะเช้าที่นี่ ตอนนั้นผมอยู่ ม.2 ก็ต้องรีบตัดสินใจว่าจะเรียนที่ไหนต่อเพราะโรงเรียนผมมีแค่ถึง ม.3 ก็เลยไปติวเพื่อเข้าเรียนซึ่งโชคดีที่บ้านผมไม่ได้ห้าม รู้สึกดีที่แม่สนับสนุน
ความใฝ่ฝันในวันนั้น
เมฆ : จริงๆ ก็คือยังไม่รู้ชัดๆ แค่รู้สึกว่าอยากได้อยู่บนเวทีเล่นดนตรี โดดบนเวที เห็นคนดูสนุก จะบอกว่าอยากเป็นศิลปินก็ได้นะแต่ในขณะเดียวกันพอเข้าม.ปลาย ผมก็เข้าไปอยู่ในโลกคลาสสิค ก็ทำให้อยากเป็นนักแต่งเพลงเหมือนกัน ช่วงที่ผมทำวงเราก็อยากจะมีเพลงของตัวเอง แต่วันนั้นเราไม่รู้เรื่องการทำเพลง ไม่รู้อะไรเลย วิธีทำเพลงของผมก็คือ ใช้ Guitar Pro เขียน Tab ให้มือกลอง มือเบส คือโปรแกรม Guitar Pro มันสามารถเขียน Tab แล้วแปลงเป็นโน้ตกลอง เบส ได้ ผมก็ใช้แบบนั้นแหละ ส่งไปให้ที่วง ซึ่งมันทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองชอบที่จะอยู่หน้าคอมนานๆ นั่งแต่งเพลง มีความสุขกับการแต่งเพลง อยากประพันธ์เพลงคลาสิคเลยนะ แล้วก็ได้มีโอกาสได้ลองเรียบเรียงในบางงานด้วย เป็นช่วงที่ผมเรียนรู้เรื่องทฤษฏีต่างๆ เยอะมาก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังทำวงดนตรีอยู่ ผมอยู่วงเดียวกับพี่เจ มณฑล ดิลกชวนิศ ตอนนั้นผมเป็นมือซินธ์ฯ จนเริ่มมีจุดพลิกผันอีกครั้งตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่มหิดล ผมเล็งไว้ 2 ตัวเลือกคือเรียนเรื่องการประพันธ์กับเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งวงผมตอนนั้นเขาเลือกเทคโนโลยีดนตรีหมด กลัวคุยกับที่วงไม่รู้เรื่อง แล้วผมก็รู้สึกว่าถ้าเรียนประพันธ์ดนตรีผมไม่ได้เจอเพลงร็อคแน่ๆ เลยเลือกเรียนเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ ของผม
การเรียนเทคโนโลยีดนตรีเป็นจุดเปลี่ยนยังไง
เมฆ : คือตอนที่ผมเรียนสักพัก ผมก็แยกตัวจากวง เพราะผมเจอแนวดนตรีที่อยากทำมากกว่า ตอนนั้นเพลงพวก Dub Step, EDM กำลังเข้ามา แล้วผมก็เริ่มสนใจ เพลงมันเท่มาก พวกเสียงซินธ์ฯ เสียงกลอง มันดูรุนแรง แล้วก็ชัดมาก เลยอยากทำได้บ้าง ก็ลองเรียนรู้ทุกอย่างจาก YouTube แล้วคิดว่าทางเดียวที่จะได้เล่นเพลงแนวนี้ก็คือต้องไปเป็น DJ จากนั้นก็เลยตัดสินใจไปเรียน DJ เลย อยากเต้นด้วย โชคดีที่ผมได้เจอพี่เอ้ Bot Cash คือตอนนั้นวง Boom Boom Cash กำลังดังเพราะประกวดชนะรายการ Chang Music Contest มา แล้วก็เริ่มจะมีทัวร์ ช่วงปี 2 ผมเลยเริ่มได้รู้จักเค้า เพราะพี่เอ้เองก็เห็นว่าผมทำเพลง แล้วก็สนใจสไตล์นี้อยู่ เลยได้โอกาสไปฝึกงานเป็นเทคนิคเชี่ยนให้กับ Boom Boom Cash เลยได้เรียนรู้หลายๆ อย่างพวกการต่อสาย ได้เรียนรู้การทำงานในโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ เพราะ Boom Boom Cash ได้เล่นกับ Bodyslam ด้วย คือตอนนั้นผมได้เป็นเทคฯ แล้วรู้สึกตื่นเต้น ไอดอลเราเต็มไปหมด (หัวเราะ) จริงๆ ตอนที่ผมตาม Boom Boom Cash ไปทัวร์ พี่เอ้เขาก็จะให้ผมได้เล่นเปิด คือลองงานเล่นจริงไปเลย ซึ่งต้องของคุณพี่เอ้ มันทำให้เราได้เริ่มเรียนรู้กระบวนการทำงาน
ได้เริ่มทำงานจริงๆ ช่วงไหน
เมฆ : ก็หลังจากช่วงที่ผมไปทัวร์กับ Boom Boom Cash ทำให้ผมได้เจอศิลปินเยอะขึ้น มีคอนเน็คชั่นมากขึ้น ก็เลยเริ่มมีคนถามเรื่องงานเข้ามา คนแรกที่ให้ผมได้ทำงานเบื้องหลังคือพี่แสตมป์ อภิวัชร์ เขาให้เราอะเรนจ์เพลงอย่าง โอมจงเงย, ให้ตายสิผับผ่า เพื่อจะเอาไปเล่นสด ผมก็เลยเริ่มทำอะเรนจ์ พี่แสตมป์เป็นคนแรกที่ให้ผมได้ลองทำงานด้านนี้ แล้วก็เป็นคนที่ทำให้ผมได้ลองเป็นโปรดิวซ์เซอร์เพลงครั้งแรก ในเพลง “สักวินาที” ซึ่งเปิดโลกผมเลย เพราะปกติผมทำเพลงแด๊นซ์ก็ทำแต่ไลน์ซินธ์ฯ กับเพลงเร็วๆ
ที่มาของชื่อ Machina
เมฆ : เกิดจากที่ผมทำเพลงอิเล็กทรอนิกส์ เสียงมันก็เหมือนเครื่องจักร เป็นเสียงแบบ Machine คราวนี้พอเรามาตั้งชื่อ ผมคิดว่าอะไรที่ลงท้ายด้วย “อ้า” มันดูเท่ (หัวเราะ) ผมก็เอาสูตรนี้มาใช้เหมือน Metallica, Madonna, Rihanna มันเรียกง่ายติดหูดีเลยใช้เป็น Machina นี่ผมสามารถทำเสื้อโลโก้สไตล์ Metallica ได้ด้วยนะเนี่ย (หัวเราะ)
แต่ช่วงนั้นเมฆก็เป็นศิลปินด้วย
เมฆ : ผมก็ไม่มั่นใจตัวเองว่าจะเรียกอย่างนั้นได้ไหม คือเรื่องมันมีอยู่ว่าตอนที่ผมกลับมาเรียนปี 3 หลังจากไปทัวร์กับ Boom Boom Cash ผมทำโปรเจ็กต์ขึ้นมาอันนึงเป็นเพลงขื่อว่า Ponglang Monster ที่ผมเอาแพลงพื้นบ้านอีสานมาใส่บีทแบบ EDM ก็ได้ลองทำกับ ต้นตระกูล แก้วหย่อง วง Asia 7 มาร่วมกันทำ บังเอิญงาน Arcadia ที่เป็นเวทีแมงมุมยักษ์ ทางผู้จัดพี่ดอม โชติกวณิชย์ กับพี่ซี๊ด นรเศรษฐ หมัดคง เขาไปได้ยินเพลงนี้พอดี เขาก็เลยสนใจ ชวนมาเล่นเปิดที่เวทีนั้น ซึ่งเป็นเกียรติมาก คือตอนนั้นผมอายุ 22 แล้วหลังเวทีมีแต่ดีเจระดับโลก The Bloody Beetroots, Far Too Loud มีพี่ขัน Thaitanium ด้วย คือแต่ละคนเป็นดีเจชื่อดังทั้งนั้น ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กมากๆ เจอใครก็ไหว้หมด แล้วได้คุยกับทุกคนหลังเวที ผมมีโอกาสคุยกับ Far Too Loud ก็เปิดเพลงให้เขาฟัง เขาก็แนะนำมาว่าเพลงคุณขาดตรงจุดนี้นะ ลองทำตรงนี้ดูสิ อะไรแบบนี้ ซึ่งผมได้ประสบการณ์เยอะมาก
พอมาถึงจุดนี้ทางเลือกของ “เมฆ” คืออะไร เพราะเป็นได้ทั้ง ศิลปิน DJ โปรดิวเซอร์จนถึง Mix Engineer
เมฆ : ผมเลือกเป็นทั้งหมดเลย (หัวเราะ) คือการเป็น DJ โปรดิวเซอร์คือเราทำเพลงเอง Mix Master เองอยู่แล้ว ทุกอย่าง All In One ผมก็เลยมุ่งจะเป็นตรงนั้นมากกว่าเพียงแต่ว่างานโปรดิวเซอร์อย่างเป็นทางการของผมเป็นเพลงป็อปอย่าง “สักวินาที” ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่ได้คิดจะลงมาเป็นเบื้องหลังเต็มตัว เพราะก็ยังมีความฝันที่จะไปเล่นเมืองนอกอยู่ ไปทัวร์ในฐานะ DJ เวทีใหญ่ๆ คือช่วงนั้นผมเป็นคนสาย EDM ต้องบอกแบบนั้น เพราะผมได้เล่นงานสไตล์นั้นมากกว่า เพียงแต่ผมโชคดีที่ผมรู้จักคนในวงการเพลงไทย ผ่านทาง Boom Boom Cash ก็เลยเหมือนเป็นคน 2 โลก แต่ใจเราไปทาง EDM มากกว่า
แต่ในที่สุดก็เริ่มมาทำเบื้องหลังมากขึ้น
เมฆ : ตอนที่ผมทำ EDM จริงๆ กระแสมันยังบูมอยู่ แต่ผมมีความรู้สึกว่ามันเริ่มถูกจับทางได้ โอเคถึงแม้ซาวด์ดีไซน์มันยังล้ำอยู่ แต่ผมว่ารูปแบบมันเริ่มจำกัดแล้ว ก็เลยเริ่มคิดว่ามาทำเพลงป็อปดูดีมั้ย มันก็น่าสนใจเหมือนกัน เราลองหยิบอะไรที่มันซับซ้อนมากๆ มาย่อยให้ง่ายขึ้น เพราะที่ฝั่งเพลงสากล เริ่มมีเพลงป็อปแบบ The Chainsmokers ที่เป็นเพลงป็อป แล้วเอาซาวด์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไป ซึ่งพอผมสังเกตเห็น ผมก็รู้สึกว่า เออ นี่แหละน่าจะเป็นเวลาของเราแล้วที่จะทำเพลงป็อป แล้วนำซาวด์อิเล็กทรอนิกส์มาผสม จนผมมาเจอกับวง Yented ซึ่งผมได้ทำงานในเพลง “ถ้าหาก” กับ “วิภาวดี” ทำให้คนเริ่มรู้จักผมในฐานะโปรดิวเซอร์มากขึ้น หลังจากนั้นวง Mirrr ก็เริ่มติดต่อมา รวมถึง Telex Telexs ด้วย
ส่วนใหญ่เขาอยากให้เมฆทำงานออกมาแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
เมฆ : โอโห หลากหลายมากครับ มีบางงานแค่ร้องเปล่าๆ อย่างเดียวให้ผมจบงานทุกอย่างก็มีนะ ซึ่งผมก็ต้องคุยก่อนว่าอยากได้บีทประมาณไหน กลองอยากได้กลองจริง หรือกลองอิเล็กทรอนิกส์ หรือบางคนเพลงใกล้เสร็จแล้วแต่ก็อยากให้ผมเติมซาวด์ดีไซน์ให้ หรือบางคนก็ให้ Mix Master ให้
งานที่เหมือนงานประจำของเมฆ คือการเป็นโปรดิวเซอร์ให้เป้ อารักษ์
เมฆ : (หัวเราะ) ใช่ครับ คือผมได้เจอพี่เป้ ตอนไปเล่นบอร์ดเกม ที่คอนโดพี่แสตมป์ ตอนแรกก็เล่นกัน 2–3 คนสักพักพี่ตู่ภพธร พี่อุ๋ย Buddha Bless พี่นะ Polycat แล้ว พี่เป้ อารักษ์ ก็เข้ามา คราวนี้ก่อนหน้านั้นผมเคยทำงานกับพี่นะ Polycat แล้วพี่เป้ เขาเคยฟังแล้วก็ชอบ ก็เลยคุยกันว่าให้ไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้เขาหน่อยได้มั้ย ก็เลยเกิดเป็นชุด Aragochina ขึ้นมา ซึ่งมันก็ท้าทายนะ เพราะภาพของพี่เป้ก่อนหน้านั้นจะเป็นแบบโฟลค์ คันทรี่ย์ แล้วแกบอกว่ามีพี่เล็กมาช่วยโปรดิวซ์อีกคน ตอนแรกผมนึกว่าเป็นพี่เล็ก Greasy Café กลายเป็นพี่เล็ก ฮิวโก้ (หัวเราะ) ซึ่งพอคุยกันพี่ๆ เขาให้โจทย์ในการทำอัลบั้มนี้ว่าเราไม่ต้องตั้งไมค์ ไม่ต้องเช่าสตูดิโอแพงๆ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก คือพอเราได้โจทย์มาแบบนี้ก็เลยลองทำงานดู เพลงแรกที่ทำในอัลบั้มชื่อว่ารักเธอคนเดียว พี่เป้แกอัดกีตาร์ ผ่านแอมป์เล็กๆ ของ Orange แล้วส่งไฟล์ผ่าน Air Drop มาให้ผมทำต่อ ซึ่งมีแค่นั้นเลย ผมก็เอามาวาง Layer ใส่ EQ ใส่บีทกลองเข้าไป จนกลายเป็นเพลงแบบที่ได้ฟังกัน จากไฟล์กีตาร์ดิบๆ นั่นเลย มันสนุกมากเลยที่ได้ทำ เพราะผมชอบทำงานแบบให้ซาวด์ดีที่สุดในกรอบที่จำกัด ซึ่งพอพี่ๆ บรีฟงานมาชัดเจน การลงมือทำเลยสนุกมาก พอพี่เล็กบอกชอบ ผมก็โอเคแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งงานพี่เป้ เป็นแบบนี้เลยครับ บางทีพี่เป้ส่งแค่กีตาร์กับเสียงร้องมาอย่างเดียวแล้วให้ผมลองไปทำต่อ
นิโคติน อีกเพลงที่กลายเป็นเพลงสร้างชื่อ
เมฆ : เพลงนี้ “โต” นักร้องนำให้เสียงร้องกับกีตาร์มา แค่นั้นเลย (หัวเราะ) เขาบอกว่าให้ผมฟรีสไตล์กับเพลงนี้ได้เลยแต่ขอแค่โทนกลอง เบส ประมาณนี้นะ มีบรีฟแค่นั้น ผมได้โจทย์มาก็ลองแจมกับตัวเองดู คือเพลงนี้เป็นเพลง 6/8 ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีเยอะ เราจะทำเพลงแบบนี้ให้ย่อยง่ายได้ยังไง แล้วต้องแตกต่างด้วย ผมก็เลยคิดถึงกลอง เบสที่มีซาวด์สไตล์ Hip Hop ผมลองมิกซ์เสียงกลองผสมเสียงกลองจริง กับกลองโปรแกรมสไตล์ 808 แบบ Hip Hop กับ Sub Bass ที่ใช้ใน Hip Hop เหมือนกันให้มาอยู่ในเพลงป็อป แล้วก็ใส่เสียง Vocoder ในเพลง ใส่ใน Hook ซึ่งเป็นงานทดลองที่สนุกมาก
เสน่ห์ของแนวดนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์
เมฆ : ผมว่าเป็นพวกเรื่องซาวด์ดีไซน์ เราสามารถหยิบเสียงรอบตัวมาใส่ในเพลงได้หมด โดยที่เข้ามาได้มากกว่าที่เราคิด มันเพิ่มบรรยากาศให้กับเพลง อย่างเพลง “นิโคติน” เสียงสแนร์มันยังไม่กระแทกพอ เลยเอาเสียงเคาะเหล็กมาทำ Layer ให้มันกระแทกมากขึ้น คำว่าอิเล็กทรอนิกส์มันไม่ต้องมีซินธ์ฯ เสมอไป มันขึ้นอยู่กับซาวด์ดีไซน์มากกว่า เราสามารถทำการ Re Sampler เสียงได้
ดนตรีแบบนี้มี “เทรนด์” ของซาวด์หรือเปล่า
เมฆ : ผมว่ามีอย่างสมัยนี้ซาวด์กลองแบบ 808 ซาวด์กลองแบบ Hip Hop มามากเลย ก่อนหน้านั้นก็เป็น 909 เป็นแนวสแนร์กับ Kick ที่ใช้ในเพลงแด๊นซ์ทั่วไป แต่ที่สุดแล้วผมมองว่าโลกกำลัง รวมซาวด์เหล่านี้เข้าด้วยกันโดยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จะไม่มีแบบแนว Hip Hop ต้องซาวด์นี้เท่านั้น ป็อปต้องซาวด์นี้เท่านั้นจะไม่แบ่งแบบนั้นอีกแล้ว หรืออย่างร็อค เราลองดู Bring Me The Horizon สิ มันคือการเอาซาวด์ดีไซน์ที่สุดโต่ง มาย่อยในเพลงร็อค แต่ยังมีความมันอยู่ ผมชอบที่ Bring Me The Horizon ทำแบบนี้ออกมาในฐานะคนที่คลั่งซาวด์ดีไซน์ ผมถูกใจงานของเขาบ้าง
ในซีน DJ เราจะวัดคนเก่งไม่เก่งยังไง
เมฆ : มันไม่มีเก่งไม่เก่งนะ ผมจะแยกออกมาเป็น 2 แบบ แบบนึงคือพวกที่อ่านคนดูเก่ง เปิดเพลงไหนคนดูก็สนุก กับ อีกประเภทคือคนที่เตรียมเซ็ตมาแล้ว แล้วเขาจะเล่าเรื่องอะไร แต่ส่วนตัวเวลาผมไปดู Festival DJ ด้วยความที่ผมเป็นเด็กเรียนดนตรี ผมก็จะดูวิธีที่เขาใช่เชื่อมเพลงว่าทำยังไงให้มันเนียน ระหว่างเพลง A เข้าเพลง B ระหว่างเปลี่ยนเพลง เขาจะ Transition ยังไง ผมชอบฟังอะไรแบบนี้มากกว่า
การเรียนดนตรีทำให้เราได้เปรียบในซีน DJ หรือเปล่า
เมฆ : ผมว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบมากกว่ากัน อย่างคนเรียนดนตรีเวลาเพลงเปลี่ยนคีย์ ก็อาจจะทำได้ง่ายกว่า แต่ผมเคยทำงานกับคนที่เป็นสาย DJ ที่ไม่รู้ดนตรีเลย แต่เขาจะรู้ว่ามีเสียงอะไรแบบไหนที่มันทำให้คนสนุก เพราะบางครั้งการเรียนดนตรีมันก็ตีกรอบเราด้วย Major, minor หรือ Mode ต่างๆ ซึ่งพอเราได้ยินเสียงที่มันขัดๆ เราจะรู้สึกขึ้นมานิดนึง แต่บางทีโน้ตที่ผิดอาจจะเป็นโน้ตที่เท่ได้ การรู้มากเกินไปบางทีก็เป็นทุกข์นะครับ (หัวเราะ)
ซาวด์ Signature ของเมฆ
เมฆ : จริงๆ ผมเป็นคนเปลี่ยนพรีเซ็ตซาวด์เรื่อยๆ นะ แต่จะมีซาวด์นึง อันนี้ผมไม่เคยบอกใครเลยนะ ตั้งแต่ปี 2011 มีเสียงเดียวที่ผมไม่เคยเปลี่ยนเลย นั่นคือเสียง Ride กับเสียง Impact Explosion เวลาใช้เชื่อมเพลงผมจะใช้เสียงนี้ตลอด เสียงนี้อยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น มันอยู่ได้ตลอด แล้วก็ทำให้เพลงสมบูรณ์มากขึ้น นิโคติน สักวินาที ก็มี (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้ใส่ทุกเพลงนะ ถ้ามันไม่เข้าก็ไม่ใส่
มีศิลปินในฝันที่อยากร่วมงานด้วยไหม
เมฆ : Blackpink ครับ (หัวเราะ) ดูไกลตัวมากๆ แต่ผมก็อยากทำงานกับศิลปินต่างประเทศ ศิลปินดังๆ ของเกาหลี ญี่ปุ่นสักครั้ง ถ้าในไทยผมก็อยากร่วมงานกับวี วิโอเลตนะ เพราะเป็นสไตล์ที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมชอบคาแร็กเตอร์เพลงแบบเขา
ข้อคิดถึงคนที่อยากมาอยู่ในสายงานดนตรี
เมฆ : สิ่งนึงที่ผมเรียนรู้จากพี่ๆ นักดนตรีโปรดิวเซอร์ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในวงการนี้มาก็คืออย่าหยุดทำ อันนี้เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีไฟในการทำงานท้อได้แต่อย่าหยุด ถึงแม้ว่างานที่คุณทำออกไป อย่างปล่อยเพลงไปแล้ววิวน้อย มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าน้อยใจ เพลงที่ 1 วิวน้อยแต่ผมเชื่อว่าเพลงที่ 10 คนก็ต้องเห็นบ้างล่ะถ้าเขารู้จักเพลงที่ 10 เขาจะย้อนกลับมาฟังเพลงที่ 1-2-3 ของเราแน่นอน เขาจะเห็นการเติบโตของเรา ผมว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด ถ้าเราหยุดก็เรียบร้อยแน่นอน