หนึ่งในศิลปินที่เรียกว่าเปิดยุคใหม่ให้กับดนตรี Pop ผสมกับ Hip Hop และกลายเป็นไอดอลของวัยรุ่นยุคนี้ URboyTJ ศิลปินที่ความสามารถของเขาไม่ใช่แค่การร้องเพลง แต่รวมไปถึงการทำดนตรีด้วยตัวเอง ตัวตนในผลงานที่ผ่านมา สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาเจ๋งแค่ไหน และผลงานล่าสุดในอัลบั้ม Selfmade ก็ยิ่งตอกย้ำในเรื่องนี้ ศิลปินที่น่าจับตามองที่สุดในยุค เล่าเรื่องราวตัวตนของเขาผ่านอัลบั้ม มาสเตอร์พีซชุดนี้ จะเจ๋งขนาดนั้นไปติดตามกันกับ URboyTJ
Selfmade อัลบั้มที่มาจากจิตวิญญาณของ URboyTJ
TJ : ผมดีใจมากที่ซีดี Sold Out แล้ว แต่ก็ยังฟังกันใน Streaming กันได้ครับ เอาจริงๆ อัลบั้มนี้ผมตั้งใจในการผลิต Artwork ของมันมาก เพราะ Artwork กับเพลงในอัลบั้มเป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งผมให้ความสำคัญพอๆ กับเพลงเลย เรามีทีมงานครีเอทีฟที่คุยกันตลอดว่า Artwork ของอัลบั้มควรไปทางไหน สัญลักษณ์ของภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในอัลบั้มก็เลยดีใจที่คนอยากมีซีดีเก็บไว้ เพราะมันจะ Limited มากๆ ส่วนตัวผมจะเป็นคนอินกับผลงานแบบ Physical มากๆ แม้หลังๆ จะไม่ได้ซื้อ CD แต่ผมจะเล่นพวก Vinyl กับ เทป ก็สมัยนี้ไม่มีเครื่องใส่ซีดีแล้วเนอะ คอมพิวเตอร์ยังไม่มีช่องเสียบเลย สำหรับคอนเซ็ปต์โดยรวมของอัลบั้ม Selfmade จะเป็นเรื่องราวย้อนไป ตั้งแต่จุดที่ผมเป็นศิลปินฝึกหัดตอนอายุ 15 ที่หลังจากเซ็นสัญญาผมได้สร้างตัวตนขึ้นมาคือ TJ แล้วผมรู้สึกว่าการเดินทางตั้งแต่อายุ 15 ถึงตอนนี้ 28 ผมว่ามันสะเปะสะปะมาก มันเจอเรื่องราวเยอะมาก ไปเจอ 3.2.1 เราประสบความสำเร็จด้วยเพลงๆ นึง แล้วเราก็แบบแป็ก มันมีความขึ้นลงตลอดเวลาจนถึงการเป็นศิลปินเดี่ยวก็ยังลองผิดลองถูกขึ้นลง บางทีก็เวิร์คบางทีก็ไม่ แล้วระหว่างที่เดินทางมาผมก็ลืมตัวตนไป สุดท้ายแล้วตัวตนของเราคือใคร ก็เลยย้อนมาระลึกถึงวันแรกที่เราทำเพลงเรารู้สึกยังไง เราชอบเพลงแบบไหน เราทำเพลงแบบไหน ก็เลยย้อนกลับไป ทำให้อัลบั้มนี้มีกลิ่นอายความเป็นตัวตนของผมค่อนข้างเยอะ ผมเกิดมาจาก Kamikaze ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เพลงของผมจะมีกลิ่นอายของ Kamikaze ตัวดนตรีก็เต็มข้อไหนๆ ทำอัลบั้มแล้วก็ ทดลองทุกๆ แนวที่เราชอบ แต่ฐานของมันเป็นเพลง Pop ผสมผสาน Hip Hop, R&B, Rock ทุกเพลงผมโปรดิวซ์เองก็เลยอยากได้ทุกสิ่งที่ต้องการ 100 เปอร์เซ็นต์
เจาะลึก Selfmade
Selfmade
TJ : เมนหลักของอัลบั้มนี้คือความ Contrast ถ้าดูจากปกอัลบั้ม มันจะเป็นหน้าผมที่คนไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง แต่ถูกคลุมด้วยถุงกระดาษที่มีสเปรย์เป็นรอยยิ้ม มันเป็นความ Contrast ของชีวิตเรา คนอื่นไม่รู้หรอกว่าเรารู้สึกอะไร คิดอะไรอยู่ แต่ทุกครั้งที่ผมออกไปในที่สาธารณะ ผมก็ต้องเป็นคนสาธารณะ มันก็เลยได้เรื่องนี้มา พอมาที่เพลงนี้ อย่างแรกที่จะให้ Contrast สุดๆ คือผมจะ Rap เป็นภาษาไทยหมดเลย ไม่มีภาษาอังกฤษแล้วทำท่อนฮุคให้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งปกติที่ผมทำจะเป็น Rap อังกฤษไทยปนกัน แต่เพลงนี้ไม่ ด้วยเนื้อหาท่อน Rap ผมอยากให้คนที่ฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกทันทีว่าจะรู้จักคนนี้ รู้ว่าเป็นคนยังไง นิสัยเป็นยังไง แล้วก็ได้ วี วิโอเลตมาร้อง เพราะรู้สึกว่าวีเป็นศิลปินหญิงที่ผมชอบมาก ท๊อปทรีของผมเลย ก็ติดต่อไป แล้วเขาสนใจอยากทำด้วยความที่เขาเป็นผู้หญิงที่สตรองและมีจุดยืนที่แน่นอน เพราะฉะนั้นทำให้ท่อนฮุคเพลงนี้มันแข็งแรงขึ้น ถ้าตัดท่อนผมออกไปก็เพลงสากลเลย (หัวเราะ) จริงๆ การเขียน Rap แบบภาษาไทย ผมคิดว่ามันสื่อสารกับคนได้ง่ายกว่า อยากให้สื่อสารกับคนได้มากที่สุด ฟัง เข้าใจเลย เหมือนคำพูดที่เราพูดกัน ถ้ามันจะมีผสมจริงก็เพราะจะทำให้มันคล้องจองกันมากกว่า ก็ไม่ขัดธรรมชาติผมสักเท่าไหร่
อยู่ก่อน (Stay)
TJ : เพลงนี้ผมลดคีย์แล้วนะ (หัวเราะ) ตอนแรกเพลงนี้เสียงสูงกว่านี้อีกนะ คือตอนแต่งเพลงนี้ผมเป็นคนโทนเสียงสูงไง แล้วทีนี้ผมก็เลยร้องด้วยวิธีแบบที่โอเคกับผม แล้วผมไม่รู้ว่าพี่โอ๊ต ปราโมทย์ มันอยู่ในคีย์เรนจ์ไหน ผมเลยแต่งแบบของผมไปก่อน แล้วก็ส่งไปให้เขาฟัง จนลดลงมาแบบที่ได้ยิน คือพี่โอ๊ตแกก็ร้องได้แหละ แกมืออาชีพอยู่แล้ว แต่มันจะรู้สึกเหนื่อยเหมือนกันที่ต้องเค้นออกมา เพราะมันสูงหมดเลยทั้งท่อนฮุค แต่ความพิเศษของเพลงนี้คือดนตรีมันเป็นสไตล์เพลงที่ผมชอบมาก แล้วไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำ เป็น G Funk อารมณ์แบบ West Coast หน่อย ทรงแบบ Snoop Dog, Dr.Dre ทั้งกรู๊ฟ คอร์ด ความ Flow ในท่อน Rap เป็นเพลงที่สนุกมากๆ ลำดับต้นๆ ในการทำอัลบั้มนี้
สักวัน
TJ : ก็ร่วมงานกับ “กานต์ The Parkinson” ผมเคยคุยกับพี่กานต์มานานมาก เคยเจอเขาเมื่อหลายปีก่อนมากๆ เจอผ่านๆ แล้วผมเป็นแฟนเพลงเค้า ผมเจอเค้าก็เลยชวนว่า พี่ครับมาทำเพลงกัน ซึ่งเขาก็ งงๆ ตอนนั้น (หัวเราะ) ก็ยังไม่สนิท แกก็เลยตอบโอเคๆ ไว้ก่อน หลังจากนั้นผมก็ทำเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ส่งให้เค้าใน Line ทำเพลงให้เขาเลือกฟัง แต่คราวนี้พอจะเริ่มทำจริงๆ จังๆ ลูกเขาก็คลอดตลอด (หัวเราะ) คือทำไป 2 เพลง เป็นช่วงที่ลูกเขาคลอด 2 คนเลย เราก็โอเค รอได้ๆ (หัวเราะ) จนสุดท้ายผมบอกว่าผมทำอัลบั้มแล้วมีเพลงนึงอยากให้พี่กานต์ มา feat เลยได้เพลงสักวันขึ้นมา เพลงนี้ผมเขียนทุกท่อน แต่ท่อน Bridge จะเป็นพี่กานต์เขียนเอง ตอนแรกจะไม่มีท่อน Bridge แต่ผมรู้สึกว่ามันขาด Element อะไรบางอย่างของความเป็น The Parkinson เลยขอให้แกทำท่อน Bridge มาเพิ่มส่วนเรื่องซาวด์ผมได้ Mixing Engineer ที่ทำให้กับ Kanye West อัลบั้ม I Hate Being Bipolar It’s Awesome ผมติดต่อเองเลยนะ คือผมอยากได้ฟิล Kanye West ตอนเป็น Bipolar แล้วทำเพลง ซึ่งมันเชื่อมโยงกับผมที่เป็นโรคซึมเศร้า แล้วก็ทำเพลง แล้วก็เพลงนี้เป็นเพลงที่ Represent ความเป็นซึมเศร้า ก็เลยติดต่อไป เขาก็โอเคได้ดีลทำงานกัน
ซุปเปอร์ไซย่า
TJ : นี่ไงสิ่งที่คนคาดหวัง (หัวเราะ) คุณเป็น Hip Hop เหรอ ไปเป็นโค้ช The Rapper ได้ยังไง อะไรแบบนี้ผมก็เลยกะว่า มาเดี๋ยวซัดให้ดูสักเพลงละกัน (หัวเราะ) บอกให้รู้ว่าทำได้เหมือนกัน ซุปเปอร์ไซย่า เพลงนี้ท่อนฮุคมันมาจากแชมป์ Maiyarap เขาทำท่อนนี้มา แล้วก็หายกันไป แล้วมาเจออีกทีตอน The Rapper เขามาอยู่ทีมผม ก็เลยได้คุยกันเยอะขึ้น เราก็บอกเขาว่าเราจะทำอัลบั้ม แล้วรู้สึกชอบเพลงนั้นมากๆ เลยขอเอามาทำใหม่ดีกว่า หลังจากนั้นก็เลยเช้าสตูดิโอกัน ก็ทำบีทใหม่ เอาท่อนฮุคมาใช้ จริงๆ ตอนแรก มันจะไม่มีท่อนัว 16 บาร์ข้างหลังด้วย ตอนแรกมันเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ผมเลยคุยกับนิลโลหิต คือเขามาช่วยผมดูเรื่องเนื้อเพลงต่างๆ บ่อยมาก ผมก็ปรึกษาเขาว่า เฮ้ย มันยังไม่สุดหรือเปล่าวะ ถ้าซุปเปอร์ไซย่าต้องสุดกว่านี้ มันเลยแนะนำผมว่า งั้นพี่ลองดูสัก 16 บาร์แบบไม่หายใจไหม ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจนะ แต่มันน่าลอง หลังจากนั้นเลยทำแล้วมันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ แต่ผมไม่ส่งให้ใครฟังเพลงนะ ผมเก็บไว้กับตัวเอง ไอ้แชมป์ก็ไม่ได้ฟัง เวลาผมส่งเพลงให้แชมป์ผมจะตัดท่อนนั้นออก (หัวเราะ) จนวัดสุดท้ายที่ทำก็เป็นเซอร์ไพรส์ทั้งคนทำเพลงและคน feat ว่าท่อนนั้นมาจากไหน ในเพลงจะมีรองเท้า Jordan, Nike, ช้างดาว แชมป์มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ผมเลือก Converse เพราะพอมันเปลี่ยนเรื่อยๆ Input มันเยอะ แล้วตัวผมอยากให้มี Input อันเดียว แล้วให้แชมป์เป็นคนเปลี่ยน
ชูมือขึ้น
TJ : เพลงนี้มันดูเหมือนเพลงน่ารักๆ ด้วยดนตรี ด้วยการนำกิมมิกของการนำคำว่า “ชูมือขึ้น” ที่เราร้องสมัยเด็กๆ แต่ด้วยเนื้อหาของมันที่เราเลือกมาเป็นเพลงเปิดอัลบั้มก็เพราะว่าผมอยากให้ทุกคนนึกภาพตามว่าอยู่ในคอนเสิร์ต ทุกคนชูมือ แล้วก็ชูนิ้วกลางขึ้นมาแล้วก็แบบ ไม่สนอะไรแล้วโว้ย วันนี้เราทำมาได้ถึงจุดนี้ เรามายืนจุดนี้ได้เราแฮปปี้แล้ว ไม่ต้องแคร์อะไรรอบข้าง เราทำงานศิลปะ เพราะเราเป็นศิลปิน เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แค่นั้นเลย อย่างที่บอกว่าอัลบั้มมันจะ Contrast มันจะหลอกด้วยดนตรีแบบ แฮปปี้ๆ แต่เนื้อเพลงอาจจะเศร้า
ถามคำ
TJ : เพลงนี้คือเพลงที่ทำเป็นทรงแบบ Kamikaze ผมตั้งใจล้อกับเพลงคำถาม ของเฟย์ ฟาง แก้ว คือตอนแรกผมจะตั้งชื่อเพลงว่าคำถามแหละ แต่มันก็ชนกัน ผมเลยรู้สึกว่า งั้นเลยเป็นถามคำ กับคำถามนี่แหละ ตอนสมัยผมอยู่ Kamikaze เพลงนี้ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันเพราะมาก แล้วก็อยากจะมีเพลงอย่างนั้นบ้าง อยากร้องเพลงนั้นบ้าง แต่ในฐานะของวง 3.2.1 มันร้องเพลงแบบนั้นไม่ได้ ด้วยคาแร็กเตอร์ต่างๆ ก็เลยเป็นการเก็บกดมาตั้งแต่ตอนนั้นว่าทำไม ทำไมผมจะร้องเพลงหวานๆ ไม่ได้วะ จนมาทำอัลบั้มตัวเองก็เลยเอาอารมณ์นั้นมาทำในแนวของเรา เพิ่มความดิบด้วยการ Rap และคงเมโลดี้ร้องที่ Pop มากๆ ไว้
กอดได้ไหม, ช่วยไม่ได้
TJ : 3 เพลงนี้คือทรงเพลง Kamikaze เป็นอารมณ์แบบ Kamikaze ที่ผมอยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ ด้วยรูปแบบวงเราตอนนั้น อย่างกอดได้ไหม เพลงก็จะเป็นทรงบอยแบนด์หน่อย ซึ่งนึกภาพผมเป็นบอยแบนด์ไม่ออกไง นึกออกไหม (หัวเราะ) ต้องออกมาเต้นหล่อๆ โกนหนวด มันก็ไม่ใช่ แต่พอมาทำตรงนี้ ผมแฮปปี้กับเพลงที่มันมีความ Pop และ R&B มีกรู๊ฟให้เต้น
รับให้ได้
TJ : อันนี้ผมมีเทคนิคการใช้ออโต้จูนนิดหน่อย ผมทำในห้องอัด ผมทำไว้อย่างนึง แต่พอตอนส่ง Mix ผมส่ง Dry ไป (สัญญาณเสียงร้องที่ไม่ผ่านเอฟเฟ็กต์) ให้ Mixing Engineer เขามิกซ์ แล้วบอกว่าผมอยากได้อารมณ์ Rapper สมัยนี้ที่เป็น Trap กันอยู่ อย่าง Roddy Ricch, Post Malone, Travis Scott ผมอยากได้แบบนั้นซึ่งเขาทำออกมาได้ดีพอสมควร คือผมทำการศึกษามาว่าทำไมออโต้จูนไทย กับการออโต้จูนของฝรั่งไม่เหมือนกัน ผมเลยลองศึกษา Stem ที่เขาส่งมา มันไม่ได้มีแค่ออโต้จูน มันมีความ Distortion, Saturator ข้างใน มันใส่ Saturation (การทำให้เสียงอิ่มสมบูรณ์ขึ้น) โดยการใส่ Delay และ Reverb ด้วย ซึ่งเราไม่เห็นใครทำในเมืองไทย เพราะฉะนั้นมันจะมีมิติมากขึ้นในทุกคำ ทุก Delay และ Reverb จะใส่ Distortion หรือ Saturation ที่ต่างกัน เพื่อให้มีมิติ มีความแตกของเสียง และได้ออโต้จูนไปด้วย ซึ่งผลมันต่างกันเยอะมากนะครับ อย่างปกติผมทำเพลงถ้าใส่ออโต้จูนก็จบแค่นั้น แล้วก็พรีเซ็ตของเราปกติ แต่ไม่ได้ไปดูเรื่อง Saturation ขนาดนี้ ซึ่งฝรั่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะจะทำให้เสียงร้องมันพุ่งมากขึ้น ก็ได้วิชาเพิ่มเต็มๆ (หัวเราะ) คนที่มิกซ์ มาสเตอร์ให้ผมเป็นคนที่ทำให้กับ Kanye West, Justin Bieber รวมถึง BTS ด้วย
ยิ่งเกลียดยิ่งรัก
TJ : เพลงนี้ก็ได้อารมณ์ เฟย์ ฟาง แก้ว นะ ผมชอบเพลงไม่ใช่อิจฉา ของเฟย์ ฟาง แก้ว มันก็จะมี Element ของการเล่น Harp ซึ่งในชีวิตนี้ ทำเพลงมาไม่เคยใส่ Harp ในเพลงเลย มันไม่ใช่เครื่องดนตรีของคนอย่างผม แต่เพลงนี้ผมรู้สึกว่า อยากจะลองใส่ Harp ใส่ Synth แบบ Arpeggiator ให้ดูเป็นเพลงผู้หญิง แต่กับกลองก็จะหนักแน่นแบบ Hip Hop ผสมกัน
หลับตา
TJ : ผมตั้งใจว่าจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงปิดอัลบั้ม แล้วก็เซ็ตไว้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเพลงอะคูสติก แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเปียโนหรือกีตาร์ ก็เลยทำ 2 เวอร์ชั่น แต่ร้องทีเดียว เพราะรู้สึกว่าวินาทีที่เราแต่งเสร็จแล้วร้องตอนนั้นเลย อารมณ์นั้นมัน Real ที่สุด ก็ร้องรอบเดียว แล้ว Edit บ้าง แต่ก็ตั้งใจเอาอารมณ์นี้ในเทคนั้นเลย ตอนแรกผมเลือกเปียโนมาก่อน แต่ผมรู้สึกว่าด้วยคาแร็กเตอร์ของเรา ไม่ใช่คนเล่นเปียโน แต่เล่นกีตาร์พอได้ ก็เลยรู้สึกว่าเราอุ่นใจกับกีตาร์มากกว่า แต่คราวนี้พอเราลองมาใช้อะคูสติก มู้ดของเพลงมันเปลี่ยนไป ด้วยเนื้อหาของเพลงมัน Depress มันดิ่งมากๆ พอใช้อะคูสติกมันเลย Contrast เกินไป มันกลายเป็นโฟลค์ซองที่เล่าถึงความตายแล้วมันไม่น่าฟังเลย ก็เลยใช้ไฟฟ้าให้มันแข็งและได้ฟิลลิ่งมากกว่า
Sad One
TJ : ผมไม่นับว่ามันเป็นเพลงสุดท้ายนะ เพราะผมคิดว่าเพลงสุดท้ายต้องเป็นหลับตา แต่เพลงนี้เป็นโบนัสแทร็ค ผมอยากทำมานานแล้วเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเพลง เราตั้งไว้ว่าจะทำ Rock ผสม Hip Hop แล้วตั้งเลยว่าจะเป็นแบบ Post Malone แล้วให้มีกีตาร์หนาๆ เยอะๆ มีทั้งอะคูสติก ทั้งกีตาร์ไฟฟ้า หลายๆ ไลน์ บนบีท Hip Hop ก็นั่งช่วยกันทำ แล้วร้องก็ใช้ ออโต้จูนในเซ็ตอัพของ Post Malone ด้วยจะได้ลองว่ามันต่างกับคนอื่นยังไง ผมไปศึกษามาว่า Post Malone จะใช้ Vibrato แล้วเปิดออโต้จูนด้วย เพราะฉะนั้นเสียงร้องของเขาจะมี Vibrato สั่นๆ ที่โคตรไม่ธรรมชาติเลย แต่ทำให้คาแร็กเตอร์ ก็เลยลอง Blend ให้เข้ากับเรา ให้เข้ากับหูคนไทยที่พอจะฟังได้ ถ้าสมมติเราหนักไปเลยก็จะฟังยากเกินไป
ความละเอียดของ URboyTJ
TJ : ผมจะมีโพสต์อิทแปะอยู่ในสตูดิโอ ทั้ง 12 แทร็ค ซึ่งจริงๆ ผมทำไว้ทั้งหมด 20 เพลง แล้วก็มานั่งคัดว่าเพลงไหนอยู่ 1-2-3-4-5 แล้วผมก็เรียงไปประมาณ 4 รอบ เพื่อที่จะไปนั่งฟังอยู่ 4 คืนว่าการเรียงแบบนี้โอเคมั้ย ฟัง 1-12 แบบนี้โอเคมั้ย บางเพลงถูกถอดออก บางเพลงถูกทำใหม่เพื่อให้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งในแต่ละเพลง อย่างเพลงกอดได้ไหม ตอนแรกจริงๆ ถูกถอดออกเพราะว่าไม่เข้ากับมู้ดอัลบั้ม ตอนแรกเนื้อหาไม่ใช่แบบนี้ มันเป็นอะไรที่ดูโตมากๆ ซีเรียสจริงจัง ตอนแรกผมปรึกษาพี่โฟร์ 25 hours นะว่าเพลงนี้ควรอยู่ในอัลบั้มนี้ไหม ผมว่าไม่เวิร์ค พี่โฟร์บอกว่าอยู่เถอะ เพลงมัน Pop โอเค เราก็เลยไปคุยกับพี่ปู๋ต่อว่ามีเพลงๆ นึงอยากให้ลองมาช่วยเขียนดู เลยได้พี่ปู๋มาช่วยเขียน
โฟร์ 25 hours พี่ที่รักของ URboyTJ
TJ : คือผมเนี่ยเล่นดนตรีไม่เป็น เปียโนไม่ได้ กีตาร์ก็ได้เฉพาะที่เป็นคอร์ดสายเปิด ก็เลยรู้สึกว่าต้องไปเอาดีด้านนึง ที่มันจะทำให้เราภูมิใจได้ว่าเราทำได้ ผมก็เลยไปโฟกัสที่การทำกลองมากกว่า คือไม่ใช่กลองสดนะครับ เป็นพวกกลองโปรแกรมนี่แหละ ผมชอบเปลี่ยนเสียงกลองที่โปรแกรมมาให้มัน Saturate มากๆ ให้กลองแตกๆ ผมจะชอบมาก มีเพลงที่ผมทำในอดีตแล้วกลองมันแตกมากๆ คนฟังจะรู้สึกว่าทำไมเสียงกลองมันแตกจัง มันคือผมตั้งใจเลย แล้วที่พี่โฟร์บอกผมทำกลองเก่งไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่หลายเพลงที่พี่โฟร์ทำมา ก็จะชอบส่งมาแล้วบอกว่าทำกลองให้หน่อย เขาจะทำไลน์ เมโลดี้ของเขา เครื่องดนตรีต่างๆ มา แต่ไม่มีกลอง ก็ส่งแบบแห้งๆ มา แล้วให้ดีไซน์กลองให้หน่อย ผมก็ทำให้เขา คือผมทำเพลงกับพี่โฟร์ ตั้งแต่ 3.2.1 เลยค่อนข้างรู้กันว่าแกจะทำอะไรแบบไหน ผมก็โยนให้แกทำเรื่องเมโลดี้ ฮาร์โมนี่ซะเลย (หัวเราะ) อย่างเพลง ดี๊ดี ที่แต่งให้เจเจ กับไอซ์ พาริส เขาก็ทำกลองคร่าวๆ มาแบบ ผมรู้สึกว่ากลองพี่แม่งเด็กน้อยมากเลย (หัวเราะ) คือแกก็เขียนคร่าวๆ นั่นแหละ แล้วผมก็เอามาทำใหม่
ก่อนจะเป็นวายร้าย ของทุกคน
TJ : มันมีช่วงที่ผมเครียดมากๆ เลย เป็นช่วงช่องว่างที่หมดสัญญากับอาร์เอส แล้วทีมงานเก่าที่ผมรู้จักทุกคนย้ายจากอาร์เอสมาทำแกรมมี่ แล้วผมอยู่ตรงกลาง ก็เลยเครียดว่าอนาคตเราจะไปยังไงต่อ เพราะตอนนั้นผมไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้โดดเด่นด้านดนตรี คือคนเห็น 3.2.1 แต่ก็ไม่ได้เห็นผม มันเป็นอะไรที่เราไม่มั่นใจว่าจะเป็นศิลปินเดี่ยวได้หรือเปล่า เป็นช่วงเวลาที่ค้นหาตัวเองอยู่ปีนึง แต่ในช่วงปีนั้น ก็ทำเพลงเก็บไว้เรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากอยู่ค่ายแล้ว เราเหนื่อยกับวิธีการทำงานแบบค่ายแล้ว ที่จะต้องมีระบบธุรกิจ ก็เลยอยากจะทำอะไรอิสระมากกว่า ก็เลยตัดสินใจปล่อยเพลงเค้าก่อน ไปใน YouTube ด้วยความไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้นแค่อยากให้คนฟังสิ่งที่เรา ทำแล้วเป็นตัวเราที่สุด แล้วจริงๆ ตอนแรกมันเฟลนะครับ ปล่อยไปมันไม่ได้เปรี้ยงปร้าง ยอดวิวมาแบบหมื่นนึง ห้าพัน ค่อยๆ ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเดือนนึงยอดวิวมันก็ไม่ขึ้น คนก็ไม่พูดถึงก็เลยรู้สึกว่าอาจจะแบบไม่รอดแล้วว่ะ ไม่น่าเป็นศิลปินเดี่ยวได้ แล้วอยู่ๆ มันก็กลายเป็นไวรัล ไอ้ข้าวกล่อง ข้าวก่อน เค้าก่อน อะไรนี่แหละ แล้วคนก็เริ่มหันมาฟังเพลงนี้ ยอดวิวก็พุ่งเร็วขึ้นจนเราแบบ เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ หลังจากนั้นจึงเริ่มมีทัวร์
คนเบื้องหน้าที่มีวิถีชีวิตแบบคนเบื้องหลัง
TJ : สตูดิโอเป็น Comfort Zone ของผม ทุกครั้งที่ผมได้นั่งอยู่ในห้องอัดตัวเอง อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ผมจะรู้สึกสบายใจ แล้วลืมทุกอย่างข้างนอกไปหมดเลย ได้นั่งทำเพลง นั่งดู YouTube ศึกษาการทำเพลง ผมมีความสุขแล้ว แต่การไปเล่นคอนเสิร์ตมันก็มีความสุขอีกแบบนึง เราได้เจอคนที่เขาฟังเพลงเรามา แล้วเขาร้องเพลงเราได้ ทุกครั้งที่เรายื่นไมค์ ขอเสียงหรืออะไร เขาให้เราเต็มที่ ซึ่งมันเป็นความสุขคนละแบบ เป็นความสุขกับการอยู่กับคนอื่น และความสุขกับการอยู่ด้วยตัวเอง
URboyTJ : The Band
TJ : ตอนโชว์แรกๆ ผมมีแต่ดีเจอย่างเดียว แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สนุก แล้วผมเป็นคนที่แบบถ้าผมรู้สึกไม่สนุก คอนเสิร์ตก็จะไม่สนุก ซึ่งคนดูไม่สนุกแน่นอน ผมเลยต้องหา Element ให้รู้สึกตัวเองสนุกก่อน เลยเอากลองสดมาก่อน แล้วมันสนุกขึ้น จนปีที่แล้ว เป็น Full Band เต็มระบบ เปิดจาก Data แล้วก็มีวงสด ครบเลย ซึ่งแตกต่างจากเปิดดีเจ เราไหลไปได้เรื่อยๆ เรานึกอะไรออกวินาทีนั้น ทุกคนตามเรามาได้หมด เลยรู้สึกเป็น Live มากกว่า คือหลังจากปล่อยอัลบั้มคราวนี้ผมจะเริ่มซ้อมวง ให้ทุกคนเล่นได้เหมือนที่ผมทุ่มเททำอัลบั้มนี้เหมือนกัน พอได้แล้ว เราก็จะเริ่มใช้เซ็ตลิสต์ใหม่ทั้งหมด นักดนตรีใหม่ด้วย ทำให้แบนด์ดูแรงขึ้น ผมก็อยากให้คนไปดูโชว์จริงๆ ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด แล้วเป้าหมายจริงๆ อยากจะมีอีก 1 EP ที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แล้ว feat กับศิลปินต่างประเทศ ตอนนี้ก็เริ่มวางคร่าวๆ ส่วนอัลบั้ม Selfmade ก็ฝากทุกคนด้วยนะครับ ติดตามได้ทางทุกช่องทางของ URboyTJ นะครับ