Lomosonic
The Creator Gang
Lomosonic เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์มากที่สุด อัตลักษณ์ในเชิงแนวคิดสไตล์นักเรียนออกแบบ ถูกนำมาดีไซน์ในวิธีการทำงานของวง ภาพลักษณ์ที่เราเห็น บางครั้งก็จะถูกคิดถึงข้อดีข้อเสียมาอย่างดี นั่นทำให้พวกเขาสามารถอาละวาดได้อย่างสบายใจบนเวที และปลอดภัยในโซนของตัวเองเสมอ กลุ่มนักคิดผู้ส่งทุกอย่างออกมาเป็นดนตรีที่พุ่งพล่าน เรื่องราวการเดินทางที่ผ่านกระบวนการการคิดมากมาย เราจะถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขาให้ได้เห็นกัน นี่คือการเดินทางของ Lomossonic
ความรู้สึกของวันนี้ที่วงเดินทางมาถึง 16 ปี
บอย : จริงๆ ถ้านับแบบ Official ก็น่าจะ 13 และบวกก่อนหน้านั้นไปอีก 3-4 ปีโดยประมาณ ไวมากนะ (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่ามันเหมือนไม่นาน และเป็นไปในแบบที่เราอยากให้เป็น อาจจะเกินความคาดหมายในบางส่วน ก็ภูมิใจที่บอกลูกหลานได้ว่าทำอาชีพศิลปินวง Lomosonic
ย้อนวันที่วงเข้าห้องซ้อมกันครั้งแรก
บอย : มันค่อนข้างเลือนรางมากแต่หลักๆ จะอยู่ที่ห้องซ้อมคณะ แล้วก็ห้องซ้อมที่อยู่แถววัดสุวรรณ แล้วก็แถวพาณิชยการเชตุพน ภาพจำประมาณนั้น
ป้อม : เราเข้าไปเล่นแจมกัน คือถ้าเรามีปัญญาเล่นเป็นเพลงตั้งแต่วันแรกได้ เราไม่ทำเพลงตัวเองหรอกครับ (หัวเราะ)
ออตโต : แต่เราก็มีเพลงที่ใช้ได้นะ เพลงแรกเลยก็คือ ฉันเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ
ป้อม : คือในที่สุดเราก็เล่นพร้อมกันได้สักที (หัวเราะ)
ออตโต : เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เป็นบีทแบบเรา กีตาร์แบบเรา เป็นเพลงที่เกิดจากในห้องซ้อมที่คณะ และบรรจุอยู่ในอัลบั้มแรกด้วย
แสดงว่าเป้าหมายคือทำเพลง
ป้อม : วิสัยทัศน์มันชัดมาก คือถ้าเราไม่ทำเพลงของตัวเองเราจะไม่ได้เล่นดนตรียันเรียนจบ เพราะว่าจะเดินสายประกวดจนอายุ 35 มันก็ไม่ได้ ก็ต้องทำเพลงออกมา แล้วถ้าประกวดก็ต้องเล่นเพลงคนอื่น
บอย : ไม่ใช่เราไม่ประกวดนะครับ แต่เราไม่ชนะเขาเลยดีกว่า แล้วช่วงนั้นมันมีเทรนด์ในการปาร์ตี้ของมหาวิทยาลัย ก็จะมีวงแบบ Goose, Slur ซึ่งทุกคนเล่นเพลงตัวเองหมดเลย ผมว่าเราไม่ได้อยากเป็นศิลปินถึงขนาดนั้นนะ เราอยากมีแค่วงดนตรีเล่นเพลงตัวเอง แล้วต่อยอดได้
ปิติ : มันมีแก๊งเพื่อน เหมือนเล่นเองดูกันเองมากกว่า บางครั้งก็ไปจัดผับเล็กๆ แต่ทุกคนจะเอาเพลงตัวเองมาเล่น มันเป็นกึ่งงานอดิเรก
ออตโต : เอาจริงๆ แค่แบกอุปกรณ์ไปเล่นเองในผับ ก็ถือว่าเท่แล้วนะ (หัวเราะ)
บอย : พอมันเล่นไปเล่นมามันก็ไปตามทางครับ เราก็เริ่มทำเพลงขายกันเอง ให้เพื่อนฟัง มันก็ช่วยๆ กันซื้อแหละ ไม่ได้ฟังหรอก (หัวเราะ) แล้วก็เริ่มไปขายตามงานเทศกาลดนตรี จนมีการติดต่อกลับมาก็คือ นิตยสาร DDT กับ Smallroom หลังจากนั้นภาพมันเริ่มต่อยอด
จุดร่วมที่แตกต่างกันของ Lomosonic
บอย : หลังจากนั้นภาพมันเริ่มต่อยอดมาสำหรับผมนะ ผมมองจุดเดียวเลย ไม่ทำงานอย่างอื่น อดก็อด ช่วงนั้นปั่นจักรยานมาทำงาน ซึ่งเพื่อนๆ ก็ทำงานอยู่ สิ่งที่เราอยากเป็นคือตรงนี้ ก็เริ่มมีการคุยเรื่องการทำงานเพลงที่ละเอียดขึ้นก่อนทำชุดที่ 2
ป้อม : ผมว่าทุกคนมีความต้องการแตกต่างกันนะ มีสิ่งที่อยากทำแน่นอน เราอยากเล่นสด เราอยากขยายแฟนเพลงให้ไกลกว่านี้ รวมถึงเรื่องที่ว่าถ้าทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องมีแฟนเพลง เราต้องดังกว่านี้ มันสอดคล้องกัน ในบางส่วน อยากเช่นสมมุติบอย บอกว่าอยากไปราชมังฯ แต่ผมมองว่าไกล ของผมมองตอนคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก แต่ใช่ สุดท้ายเราไปทางเดียวกัน
ออตโต : ของผมจะเป็นความรู้สึกเหมือนหาเสียง อยากเล่นในจำนวนงานที่เยอะที่สุด ยิ่งเราเจอคนเยอะก็จะทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น นั่นเป็นความฝันของผม หลังจากชุดแรกที่เราพอมีงานบ้าง แต่ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ พอชุดที่ 2 มันทำให้มีงานเยอะขึ้น พอเลี้ยงตัวเองได้ ของผมเป็นแผนระยะสั้นมากกว่า
ปิติ : ของผมแค่อยากเล่นสด อยากมีงานเฉยๆ มันสนุกดี พอโตขึ้นมา ก็คืออีกแบบคือทำยังไงให้เราทำเพลงต่อไปเรื่อยๆ ได้มากกว่า
บอย : มันเป็นจุดร่วมครับไม่ใช่จุดหมายวงเราไม่ได้ถึงขนาดมีเป้าประสงค์เดียวกัน แต่ละคนมีจุดสอดคล้องกัน
ป้อม : เหมือนเราขึ้นรถคันเดียวกัน แล้วบอกว่าไปเชียงใหม่ แค่นั้นเลยครับ ไม่ได้คิดอะไรมาก
จุดเริ่มต้นของเสียงร่ำลือวงดนตรีที่เล่นสดสุดเดือด
ออตโต : ผมจำได้ว่าชุดแรกเราเล่น 1 ชั่วโมง เราเล่นเพลงเร็วหมดเลย แล้วแต่ก่อนบอยก็ไม่ได้พูด เราก็ใส่ทีเดียวหมดเลย ก็ยังงงเล่นกันไปได้ยังไง ชุดแรกนี่อัดๆ กันอย่างเดียว
ป้อม : นั่นเป็นที่มาของเสียงลือว่าเราเล่นสดโคตรมัน เพราะเราไม่มีเพลงช้า (ยิ้ม)
ออตโต : มันเป็นความต้องการใน DNA เราที่ต้องการความพุ่งพล่าน มันกลายเป็นภาพสะท้อนในชุด Fireworks ว่าเราจะทำยังไงให้เพลงในชุดแรกของเรากระจายไปเจอคนได้มากขึ้น
กับเพลง “ขอ” สรุปแล้วทำให้วงลำบากใจหรือสบายใจกันแน่
ป้อม : โอ๊ย สบายใจอย่างเดียวเลยครับ (หัวเราะ)
บอย : ถ้ามองตามเหตุตามผลเลย มันดีนะครับ คือจะมีมุมมองที่ว่า “One Hit Wonder เป็นคำที่ไม่ดี” แต่ผมว่ามันดี เพราะชุดแรก ไม่มีใครมองเห็นเราเลย ต้องบอกแบบนี้ก่อน แฟนเพลงของเราที่ติดตามมาแต่แรกก็อาจจะบอกว่าผมนี่ไงพี่ มองเห็น อันนี้ตัดไปก่อน อันนั้นพวกกูรักมึงอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่คือเราเป็นวงที่ถูกมองข้าม เราไม่ได้อยู่ในหมวดของร็อคชุดดำ แล้วก็ไม่ได้จัดในหมวดอินดี้อีก ไม่ได้รวมอยู่ในอะไรเลย การถูกมองเห็นมันมีค่า อันนี้จากใจเลยนะครับ ผมว่าต่อให้เป็น One Hit Wonder มันก็มีค่าสำหรับวงผมมากๆ แน่นอนว่าพวกเราเติบโตมากับลักษณะวงดนตรี เรารู้อยู่แล้วว่าการเป็นวง One Hit Wonder มันต่อยอดไม่ได้ เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราอยากจะเป็นก็คือเราอยากเล่นเพลงตัวเองทั้งโชว์ เพราะฉะนั้นมันจะมีเรื่องของกลยุทธ์ในการวางเพลงต่อมา เอาจริงๆ ที่ทำแฮชแท็ค #Lomosonicไม่ได้มีแต่เพลงขอ ตอนนั้นผมไม่ได้มีการการประชดประชันเลยนะ กล้าสาบานเลย (หัวเราะ)
จริงๆ เพลงอย่าง “ความรู้สึกของวันนี้” มันก็ทำงานนะ
ป้อม : มันเป็นแบบค่อยๆ ซึมมามากกว่า ยังอินดี้กว่าเพลง “ขอ” เราเล่นเพลงนี้ตามหัวเมืองมีคนชอบ แต่ไปตามที่ต่างๆ เราเหมือนต้องไล่ชกเก็บคะแนน เพลง “ขอ” มาช่วยเพลงนี้มากขึ้นด้วยซ้ำ
บอย : เราแค่มองเห็นว่าพอเกิดเคสแบบนี้แล้ว คนจะมองเข้ามายังไง เราเริ่มรู้จักวงการดนตรีมากขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้มองตัวเองเป็นศิลปินขนาดนั้นก็ตาม ผมยังเป็นนักดนตรีอยู่ ปัจจุบันวงการคืออะไรก็ยังไม่รู้ (หัวเราะ) มันไม่เหมือนตอนแรกที่แบบมึงมาดูสิว่าพวกกูยืนหยัดยังไง (หัวเราะ) เราเข้าใจมุมมองคนอื่นมากขึ้น
เพลงฮิต ที่ไม่ใช่เพลงฮิต
บอย : คือ “ขอ” มันไม่ได้คิดว่าจะต้องฮิตอะไรเลยครับ ปกติเขาบอกกันว่าเพลงฮิตต้อง 3 นาที แต่เพลงนี้แค่ความยาวมันก็ 6 นาทีกว่าแล้วอันนี้เป็นหลักฐานว่าเราไม่ตั้งใจทำให้มันฮิตจริงๆ (หัวเราะ) พอบทจะฮิตขึ้นมาก็ดีครับเป็นวงที่มีเพลงฮิตยาว 6 นาที 50 วินาที (หัวเราะ) อันนี้ยืดได้ รวมพูดตอนไปโชว์อีก วันไหนไม่พูด ก็มีคนบ่นอีก (หัวเราะ)
ออตโต : ยาวสุดที่เคยเล่นคือ 15 นาที (หัวเราะ)
บอย : ไม่ใช่ไม่รู้ เรารู้กันอยู่แล้ว ตั้งใจเลย (หัวเราะ)
ช่วงฟอร์มฮอต Echo & Silence และกับดักแห่งความสำเร็จ
บอย : ผมว่าอัลบั้มนี้เราโชคดี จริงๆ อัลบั้มนี้มีปัญหาเยอะกว่าชุดหลังๆ อีก เรายังทำงานด้วยอาการกึ่งรู้กึ่งไม่รู้อยู่เลย เราไม่รู้เรื่องการวางไมค์ เรื่องวิธีการต่าง ผมยังอัดร้อง งูๆ ปลาๆ อยู่เลย อยากเอาชนะด้วยการร้องแบบ Long Take แต่ผมมองว่า วงการดนตรีมันเหมือนเป็นประภาคาร แล้วจังหวะแสงมันส่องไปโดนเพลงในอัลบั้มนี้พอดี สิ่งสำคัญคือเราจะทำยังไงในความมืดมากกว่า คนอาจจะยกว่า Echo & Silence เป็นสุดยอดของวงเรา แต่วงเราจะไม่มองแบบนั้นเด็ดขาด เราไม่กอดทั้งคำชมและคำด่า มันอยู่ที่เราทำอะไรในความมืดมากกว่า เรามีทีม มีอายุ ประสบการณ์ ดวง ทุกอย่างมันดี เราได้เพลงอย่าง หลงทาง, ขอ, ความรู้สึกของวันนี้ อาจจะเป็นการท็อปฟอร์มโดยไม่รู้ตัว ช่วงนั้นมันมีความสุขในแง่มุมที่ไปทัวร์แล้วมีคนร้องเพลงต่างๆ แบบไม่ต้องบิ้วท์แล้ว
การเปลี่ยนแปลงแบบสวนแรงโน้มถ่วงกับ Anti-Gravity
ป้อม : เราเผชิญกับการย้ายค่ายสองครั้งภายในปีเดียว มันเป็นช่วงเวลาที่งงไปหมด
บอย : ก่อนหน้านั้นจะมีเพลง “คำตัดสิน” กับ “เพราะความรักมันไม่เลือกเวลาเกิด” อยู่กับพี่ฟองเบียร์ ตอนนั้นก็ปั้นทรงได้แล้วนะ คนก็เริ่มมาแล้ว เริ่มทัวร์ เริ่มจัดการได้ จากนั้นก็เปลี่ยนแปลง เราย้ายมาค่ายสนามหลวงมิวสิค แล้วก็ทำอัลบั้ม Anti-Gravity ออกมา ซึ่งมีคำถามนึงเกิดขึ้นว่าทำไมเราไม่เอาเพลงคำตัดสิน มารวมในอัลบั้มนี้
ออตโต : คำตอบคือแผ่นมันจุไม่พอครับ (หัวเราะ) แล้วมันต้องเลือก มันได้แค่แผ่นเดียว จะทำ 2 แผ่นมันก็ Over Cost
บอย : เราก็เลยเอาเพลง คำตัดสินออก แล้วใส่เพราะความรักมันไม่เลือกเวลาเกิดเข้าไป พอมันไปอยู่แทร็คสุดท้าย ก็เข้ากันพอดี
ปิติ : เป็นซีดีที่คุ้มมาก คุ้มค่าทุกวินาที (หัวเราะ)
ป้อม : แต่การทำงานเราตะกุกตะกักมากนะ เพราะเราทัวร์ไปทำงานไป แต่ต้องบอกว่าที่สนามหลวง ทุกคนให้อิสระกับเรามาก ทุกคนให้โอกาสเรา ให้เราเลือกทีมงานในการทำงานเต็มที่
ออตโต : มีแต่คนสปอยล์ ไม่มีคนห้ามเลย (หัวเราะ)
บอย : แล้วก็ได้ทัวร์ M100 ทัวร์รั้วเหลือง เรียกว่าติดดาววงดนตรี (หัวเราะ) ไม่ได้กลับบ้านร่วมเดือน
ออตโต : คนอื่นเขาเคยแล้วไง แต่เราเพิ่งทัวร์เป็นครั้งแรก
ปิติ : งานมันก็หนักขึ้น เพราะช่วงนั้นเราต้องเริ่มทำ Data ทำไฟล์ต่างๆ กันเอง คอนเน็กชั่นเราส่วนใหญ่ก็เป็น Home Studio ผมเองก็ต้องไปลงคอร์สทำอะไรเหล่านี้ มากขึ้น
คอนเสิร์ตที่ทุ่มสุด ชีวิต หัวใจ
บอย : Anti-Gravity เป็นคอนเสิร์ตที่ Hi-Fi ที่สุดที่เราเคยทำ ห่างไกลความเป็นมนุษย์ที่สุด ทุกอย่างอยู่ใน Code อยู่ใน Grid ด้วยการตั้งใจจะไม่พูด ปัญหาตอนซ้อม ตอนเล่นมีหมด ผมยังจำสภาพที่ผมมาหลังเวที เห็นเทคฯ ยืนถือพวงมาลัย แววตามันเป็นกังวลมาก
ออตโต : ตอนนั้นเราเอาคอมฯ เปิด Data แล้วมันจะมี เอ๋อๆ บ้าง ก็เลยเอาพวงมาลัยไปไหว้ คอมฯ ซะเลย (หัวเราะ)
บอย : ที่บอกว่าห่างไกลความเป็นมนุษย์เพราะเราอยากให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด ถ้าใครได้ไปคงเห็นไฟ เห็นจอ มันแทบไม่มีบทพูด คือจะเสียดายมากถ้าไม่ได้ทำ
ออตโต : ผมว่าถ้าเราอายุมากกว่านี้เราทำไม่ได้แล้วนะ เราทำได้สุดแค่ไหน เราทำเท่านั้น
ป้อม : ในความทรงจำผม เวลาวงจัดคอนเสิร์ตใหญ่ไม่มีครั้งไหนที่ไม่เหนื่อยนะ เราชินกับการ “ใส่แม่งให้หมดแม็กไปเถอะ” จนกลายเป็น Default Mode มันอาจจะดูเครียดๆ นะ แต่เราต้องเสียสละความสุขของเราสักหน่อย
บอย : มันจะแย่ยิ่งกว่าถ้าเราออกไปหาคนดู แล้วแบบคว่ำ อันนั้นเครียดกว่าแน่ๆ (หัวเราะ) ตอน Anti-Gravity เด่น (มือเบส) ร้องไห้เลย เพราะเบสมันเสีย แต่ผมบอกว่ายังไงก็ต้องซ้อม ให้ซ้อมอุบัติเหตุเอาไว้เลย ซ้อมตั้งรับเหตุคาดไม่ถึง เราไม่ได้แค่จริงจังแค่พวกเรา แต่ทีมงานก็ต้องเต็มที่ด้วย
และในที่สุดกับการมาอยู่ genie records มูลเหตุแห่งการตัดสินใจ
บอย : เรากำลังจะหมดสัญญากับ Grammy ก็เลยคุยกับพี่เปิ้ล ผู้บริหารสนามหลวงเลย ว่าอยากคุยกับใคร เราก็บอกแกไปตรงๆ เลย ผมก็เลยคุยกับพี่อ๊อฟ Big Ass ว่าวงเราอยากทำงานกับพี่อ๊อฟ ที่ genie ซึ่งตรงนี้เป็นมติของวงเราอยู่แล้ว
การทำงานที่ควบคุมทิศทางการทำงานได้ชัดเจนกว่าเดิม
ออตโต : เรายังทำงานเหมือนเดิม จากโรงงานเดิม แต่มีคน QC ให้เราคือพี่อ๊อฟ กับทีม ช่วยเราดู Lomosonic น่าจะเป็นหน้าตาประมาณไหน มันง่ายขึ้นใน Direction ไม่ใช่งานกลุ่มเล็กๆ 4 คนแล้ว เป็นงานกลุ่มที่คุยกันมากขึ้น รูปทรงชัดขึ้น
ป้อม : อย่างเรื่อง Year Plan สมัยก่อนเราก็มีแต่เราจะวางแค่ว่าจะปล่อยเพลงไหนก่อนหลังตามลำดับ แต่กับ genie เป็น Year Plan จริงๆ แทบจะเป็น Week เป็นมืออาชีพมากขึ้น มันสนุกขึ้นนะ
ปิติ : เรามีทีมงานมาช่วยในการอัดมากขึ้น ได้เรียนรู้อุปกรณ์ เทคนิคต่างๆ ก็สนุกขึ้น
ออตโต : ผมแค่แอบเสียดายว่า ตอนเรามาอยู่ genie แล้วมี Covid การที่เราทำงานเต็มที่ แต่สิ่งเราส่งออกไปมันไม่ครบถ้วน ก็เลยแบบเสียดาย
ป้อม : อย่างเพลง “โปรดจดจำฉันไว้” เราไม่ได้ Campus Tour มันก็แห้งแล้ว เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
สำหรับ Lomosonic ถ้า “ขอ” แฟนเพลงได้อยากให้ฟังเพลงไหนเป็นพิเศษ
ป้อม : ขอให้ฟังเพลงถัดไปที่จะออกครับ ไม่ว่าจะเป็นเพลงอะไรก็ตาม (หัวเราะ) ถ้าฟังเพลงถัดไป แสดงว่าเป็นแฟนเราแน่นอน
บอย : ผมขอให้ฟังเพลง “ขอ” นี่แหละ คนยังแกะสิ่งที่อยู่ในเพลงนี้ไม่หมดเลยครับ อย่าว่าแต่แกะเลย ร้องยังผิดท่อน (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ เอาเป็นว่าใครแกะได้ เอารางวัลไปเลย ถ้าขอจริงๆ ก็อยากให้มาคอนเสิร์ตของเรานั่นแหละ ถ้ามีโอกาส และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากขอ ก็คืออยากให้ตัดระบบพี่บอยออกไปซะที ผมไม่อยากให้แฟนเพลงเรียกๆ พี่บอยๆ อยากให้เวลาทุกคนตะโกน ตะโกนเรียกว่า Lomosonic ก็พอ วงคือวง ผมมีแค่หน้าที่นักร้อง อันนี้อาจจะนอกคำถามนิดนึงนะ (หัวเราะ)
ออตโต : สำหรับผม ผมชอบเพลง “รักครั้งสุดท้าย” เพราะตอนที่มีดนตรีมา มันหวานมาก แล้วบอยแต่งเนื้อเพลงมาผมค่อนข้างอิน มันเป็นเพลงที่ฟังง่ายมาก แต่สุดท้ายมันไม่ได้ถูกนำไปเล่น เสียดายที่อายุมันสั้น มันยังไม่ถึงคนฟังเลย เป็น Single สุดท้ายตอนช่วง Covid ก็อยากขอให้ทุกคนลองไปฟังดู MV ก็ดาราเยอะ อยากให้ไปซ้อมร้องมาเจอกันในคอนเสิร์ต ผมว่ามีคนร้องไห้แน่ อย่างน้อยก็ตัวผมเองล่ะ (หัวเราะ)
ปิติ : ของผมตอนแรกคิดถึงเพลง Weakness นะ เพราะมันเกิดจากท่อนดนตรีในเพลงความรู้สึกของวันนี้ แต่เปลี่ยนใจแล้วผมขอเชียร์เพลงใน EP Sweet Bros. ดีกว่า เพลงน่าสงสารมาก
ป้อม : ช่วยให้ความเป็นธรรมกับอัลบั้ม Sweet Bros หน่อยครับ ลองฟังกันดู (หัวเราะ)
ถ้า Lomosonic เล่นคอนเสิร์ตแล้วอยู่ๆ มีอุกกาบาตตก เหลือเวลาอีก 3-4 นาทีเพลงสุดท้ายที่จะเล่นให้คนฟังคือเพลงอะไร
ป้อม : ถึงเวลาละกัน (หัวเราะ) มันต้องอย่างนี้แหละ ถ้าเล่นเพลง ขอ มันจะเข้าท่อน โฮ้ว โฮ ไม่ทัน (หัวเราะ) บอย มันยังพูดอยู่เลย (หัวเราะ)
ปิติ : ผมว่ามันต้อง “ใครจะหยุดความเหงา” กำลังบอดี้เซิฟ จบๆ กันไป (หัวเราะ)
ฝากผลงาน
บอย : ก็ฝากอัลบั้ม Pieces Of Memories ที่เป็นชุดที่ 6 ชุดล่าสุดของพวกเรา ก็ไปฟังกันเยอะๆ แล้วก็ฝากอัลบั้ม Sweet Bros ด้วย (หัวเราะ) แล้วไปเจอกันตามงานคอนเสิร์ตครับ
สมาชิกวง Lomosonic
บอย อริย์ธัช พลตาล
ป้อม ฉัตรชัย งามสิริมงคลชัย
ปิติ สหพงศ์
ออตโต้ ชาญเดช จันทร์จำเริญ