“ก็เมื่อฉันรักใครฉันต้องเป็นคนผิดหวัง สุดท้ายเมื่อรักไปหัวใจต้องแตกทุกครั้ง ทำไมต้องเป็นฉันผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง” คิดว่าคนฟังเพลงคงคุ้นกับเนื้อเพลงนี้ และอาจจะอ่านออกมาเป็นทำนองก็ได้ เพลงที่ชื่อว่า ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง (ดอกไม้ฤดูหนาว) น่าจะเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทุกคนรู้จักดี แต่เจ้าของเสียงเพลงนี้ หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ วงดนตรีดูโอ้คู่รัก ชื่อแปลก “เรนิษรา” ตั้ม ชยพล ล้วนเส้ง / สบาย เรนิษรา ลีประโคน ทั้ง 2 คน ชีวิตเปลี่ยนไปจากเพลงนี้ ทั้งความสำเร็จ เสียงวิจารณ์ การปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นมุมไหน พวกเขาเองก็เป็น “ผู้ถูกเลือก” เช่นกัน แต่จะเป็นการถูกเลือกที่ “สมหวัง” หรือ “ผิดหวัง” เรามาติดตามบทสัมภาษณ์นี้พร้อมกัน
ผู้ถูกเลือกโดยโชคชะตา
ตั้ม : เราเจอกันตอน ปี 1 มันเหมือนอะไรมันสมพงษ์สักอย่าง ตอนที่เราเรียนศิลปากร ผมเรียนดนตรี คณะดุริยางค์ศาสตร์ ส่วน สบาย เรียนโบราณคดี ตอนนั้นเป็นวิชาอะไรสักอย่างก็เลยได้เรียนรวมกัน
สบาย : หนูเป็นคนเดินไปขอ Line เขาก่อน เพราะเห็นเขานั่งเงียบๆ ขรึมๆ ซึ่งตั้มบอกว่าที่ตั้มให้ Line เพราะเหมือนเรามีความเกรงใจ
ตั้ม : สบาย นิสัยดีครับ แต่ตอนนั้น จะอ้วนกว่านี้ไม่ใช่แบบนี้ (หัวเราะ) อันนี้ จมูกที่ 3 แล้ว (หัวเราะ) กว่าจะเป๊ะก็นานเหมือนกัน (หัวเราะ)
จุดประกายในการทำผลงานคู่กัน
สบาย : ตอนนั้น ตั้ม ยังทำวงอยู่ แล้วหนูบอกเขาว่าอยากเป็นนักร้อง ตั้มเลยทำเพลงให้ เป็นเพลงภาษาอังกฤษ
ตั้ม : ผมมีความรู้สึกว่าคนที่ฝันอยากเป็นอะไร เขาก็ควรจะได้ทำ แม้จะสำเร็จหรือไม่ จริงๆ เรื่องเกิดจากความหมั่นไส้คนอื่น เพราะสบาย เขาไปคุยกับคนรู้จักที่อยู่คณะเดียวกับผมว่า อยากเป็นนักร้อง แล้วผมมารู้ทีหลังว่าคนนั้นบอกว่า อย่าง สบาย เนี่ยนะ จะเป็นนักร้อง เรียนโบราณคดีจะเป็นนักร้อง ผมก็รู้สึกว่า อ้าว ทำไมจะเป็นไม่ได้วะ ประกอบกับตอนนั้น ผมเริ่มจะเฟดจากการทำวงแล้ว ก็จะมาเริ่มทำเพลงเอง ก็เลยคิดว่า อย่างนั้นมาก็มาทำให้สบาย ทำคู่กันไปเลยดีกว่า ไหนๆ ก็ทำเล่นๆ เหมือนกัน ก็ได้เป็นเพลงที่ชื่อว่า Rotten Skunk ซึ่งมันออกมาไม่ดีหรอกครับ เพราะเพิ่งเริ่มทำกันตอนนั้น นี่ผมเปิดเผยเป็นที่แรกเลยนะเนี่ย (หัวเราะ)
สบาย : แล้วหนูทำจมูกแล้ว เลยมั่นใจว่าเป็นนักร้องได้ (หัวเราะ) แต่เราก็รู้สึกดีที่ตั้มยอมรับเรา อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่รับเราได้ ก็น่าจะมีคนอื่นที่รับเราได้
จุดเริ่มของ เรนิษรา
สบาย : ตอนแรกเราใช้ชื่อว่า Winter Berry อยู่ใน Channel ของ Banana ของพี่เอส กล้วยไทย แต่เรารู้สึกว่า แฟนเพลงไม่ตรงกลุ่ม ก็เลยเลือกออกมาทำเอง
ตั้ม : ก็มาเริ่มใหม่จากศูนย์เลย คราวนี้พอเรามาทำเพลงด้วยกัน ก็รู้สึกว่าชื่อ Winter Berry ไม่ค่อยมีเอกลักษณ์ ประกอบกับสบายเองช่วงนั้นอยากจะเปลี่ยนชื่อจริงตัวเองด้วย
สบาย : ช่วงนั้น หนูเล่น IG แล้วกำลังอิน กับเวลาที่ฝรั่งเขาตั้งชื่อ IG เป็นชื่อจริงสั้นๆ แล้วเราอยากมีชื่อแบบนั้นบ้างเลย พิมพ์ว่าชื่อเราดัดแปลงได้ประมาณไหนบ้าง อยากได้ชื่อที่ดูเป็นภาษาต่างประเทศ จนไปสะดุดกับคำว่า Renita ที่เป็นภาษาละติน แปลว่าการเกิดใหม่ เราชอบชื่อนี้ แต่ไม่ได้อยากได้คำว่า “Ta” มันดูยิ่งใหญ่ไป เลยเปลี่ยนเป็น เรนิษรา ก็มาสะกดใน IG ว่า สร้างแล้วจะได้ชื่อสั้นหรือเปล่า ก็เลยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อจริง
ตั้ม : แล้วผมรู้สึกว่า เออมีเอกลักษณ์ดี เลยเอามาตั้งเป็นชื่อวง
ทิศทางการทำงานในช่วงแรก
ตั้ม : ตอนนั้นก็ทำเอาสนุก แต่ก็มี Direction นิดนึง เรามองว่าศิลปินต้องทำเพลงที่เป็นตัวเองก่อน แล้วค่อยทำเพลงป็อปมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราวางแผนแบบนี้ แล้วก็ตรงด้วย แต่เพลงช่วงแรกๆ ไม่มีคนฟังเลยนะ (หัวเราะ) เพราะเพลงมีคำหยาบ ทำเอามัน เพลงแรกที่ทำในนาม เรนิษรา ชื่อเพลงว่า “ผมเป็นของผมอย่างนี้”
“ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง”
ตั้ม : มันเกิดจากช่วงที่ผมตัน แต่งเพลงไม่ออก เพราะเขียนมา 9 เพลงก็ยังไม่มีคนฟัง ก็เลยมาคุยกับสบาย ว่าจะแต่งเพลงแบบไหนดี มันท้อไปหมดเลย ก็เลยคุยกันว่ามีเรื่องอะไรที่เราอยากเล่า แต่ไม่ได้เล่าบ้างไหม สบายเลยเล่าเรื่องชีวิตตอนมัธยมที่เจอความผิดหวัง โดนคนดูถูกว่าหน้าตาไม่ดี ชอบใครเขาก็ไม่ชอบ ซึ่งผมก็เป็น โดนผู้หญิงทิ้ง ประกวดดนตรีก็ไม่เคยชนะ ชีวิตมันมีแต่ผิดหวัง ผมเลยกดเข้า Twitter แล้วไปเจอคำว่า “ความผิดหวังมักเลือกฉันเสมอ” เลยเอามาเขียนดู ตอนแรกเพลงนี้จะชื่อว่า ”ทำไมยังเป็นฉันที่ต้องผิดหวัง” ตามเนื้อเพลง แล้วพอแต่งไปเรื่อยๆ คำว่า ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง ก็เข้ามาในหัวเอง สำคัญที่สุดคือผมเดินไปถามแม่ของสบายว่า ชื่อนี้ดีไหม ไม่มีคนตั้ง แม่ก็บอกว่าดีนะ คนส่วนใหญ่เวลาประกาศรางวัล จะมีคำว่าผู้ถูกเลือก จะไปในทางสมหวัง แต่พอมาเป็นผิดหวังก็ดูมันเป็นการเล่นกับคำดี ก็เลยเป็นผู้ถูกเลือกให้ ผิดหวัง ต้องบอกว่าคุณแม่ของสบาย มีส่วนในการตัดสินใจเรื่องชื่อเพลงนี้ครับ
วันที่เพลงเสร็จสมบูรณ์และปล่อยออกไป
ตั้ม : เพลงนี้รวมขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง ใช้เวลา 7 วัน จบงานเลย ไม่ต้องแก้ บทมันจะเขียนออก มันก็มาของมัน พาร์ทดนตรีผมก็จะเป็นคนทำ ซึ่งตัวดนตรีผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะมองว่ามันเป็นองค์ประกอบที่ส่งให้เนื้อเพลงโดดเด่น เป็นบรรยากาศ ซึ่งตอนทำเสร็จเราก็แต่รู้สึกว่าชอบ แต่ไม่รู้หรอกว่าจะมาหรือไม่มา ก็เป็นเพลงแรกที่ส่งมิกซ์ มาสเตอร์ ข้างนอกด้วย ก่อนหน้านี้ผมจะทำเอง เพราะไม่มีเงิน (หัวเราะ) เราก็คิดว่ามันน่าจะแตกต่าง ซึ่งพอทำเสร็จผมก็รู้สึกว่าอย่างน้อย น่าจะมีคนฟัง เต็มที่ 2-3 แสน ส่วนหนึ่งผมรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเรื่องราวที่เล่าแล้วดูจริงที่สุดของพวกเรา เราเล่าความผิดหวังของตัวเอง
ค่อยๆ ประสบความสำเร็จ
ตั้ม : กว่าจะได้หมื่นวิวแรกก็เป็นอาทิตย์เลย แต่หลังปล่อยไป อาทิตย์ที่สอง อยู่ๆ ก็พุ่งไป 5 แสนเลย
สบาย : ตอนนั้นสบาย ก็รู้สึก ว้าว แบบนิ่งๆ กับยอดวิว แต่จะประหลาดใจกับ ผู้ติดตามมากกว่า จาก 800 ลงเพลงนี้ จะได้ครบ 1,000 จะได้สร้างรายได้
ตั้ม : ตอนนั้นมี 880 คนติดตามเพราะกฎ Youtube คือต้องมี 1,000 Subscribe กับเข้า 4,000 ชั่วโมง ถึงจะสร้างรายได้ ตอนนั้นก็มีกำลังใจครับ และคิดว่ามันก็คงจะหยุดที่ 5 แสน นั่นแหละ พอแตะหลักล้าน เพื่อนในคณะเริ่มทักมาแล้ว เริ่มส่งคลิป TikTok ว่ามีคนเอาไปเปิด ซึ่งผมกับสบาย ไม่เล่น TikTok แล้วก็ไม่คิดว่าจะขึ้นมาขนาดนั้น เพราะเราก็ไม่ได้ทำเพลงเพื่อซัพพอร์ต TikTok ขนาดนั้นด้วย พอตอนหลักล้าน คนรู้จักก็ทักมา พอมาเป็น 10 ล้าน คราวนี้เริ่มทักมาจ้างงาน แล้วร้านแรกๆ รู้สึกจะชื่อ Slowmoon เราเองไม่พร้อมเลย ผมก็ไม่ได้เล่นสดมานาน ซึ่งพอไปเล่นก็แบบ คนร้องเพลงได้โคตรดัง ก็เลยตกใจ ก็มีความตื้นตัน แต่เอาจริงช่วงนั้นผมแอบเกลียดโทรศัพท์ไปเลยนะ เพราะพวกเราไม่ได้เตรียมตัวอะไร มันเข้ามากะทันหันมากๆ โชคดีที่ผมเรียนวิชา AR มากับพี่บอล Scrubb เลยรู้ว่าต้องคุยประมาณไหน เรทราคาประมาณเท่าไหร่
ความ (ไม่) พร้อม ในการโชว์
สบาย : ช่วงแรกต้องกินเหล้า ถึงจะขึ้นไปร้องได้ (หัวเราะ) ไม่งั้นขึ้นเวทียืนตัวสั่นเลย จำงานแรกได้เลย เป็นงานฟรีที่นครนายก ยังดีที่เขาให้นั่งร้องเพลง ทั้งหนาว สั่น ตื่นเต้น ร้องเสียงสั่นไปหมด รู้สึกไม่ดีเลย แบบเมื่อไหร่จะจบ (หัวเราะ) น่าจะไม่มีใครฟังออกว่าเราเสียงสั่น
ตั้ม : รู้สิ คลิป TikTok เยอะแยะ (หัวเราะ) ช่วงแรกผมสงสารเค้าเลย ผมเลยต้องร้องเยอะ ต้องร้องช่วยเขาเยอะมากตอนแรกๆ เราก็ไม่มีทีมซาวด์ เราไปแบบไม่มีคนช่วย ผมก็เคยแค่เล่นกลางคืน เราก็ไม่ได้เคยเป็นศิลปิน
ชีวิตที่เปลี่ยนไป
สบาย : มันเหมือนกับสิ่งที่เราเห็นตอนแรก ที่เราอยากเป็น มันเป็นภาพที่นักร้องอยากให้คนอื่นเห็นเหมือนกัน เราก็คิดว่ามันสวยหรูเหมือนที่เขาให้เราดู แต่มันก็คือมนุษย์ปกติที่แต่งตัวสวย แล้วไปร้องเพลงใส่ไมโครโฟน ตอนนั้นก็ยังต้องกินเหล้าก่อนขึ้น ทำอยู่เกือบครึ่งปี แต่ก็เริ่มไม่สั่นแล้ว งานที่ทำทำให้เลิกได้คืองานที่ร้านก้ำกึ่ง เพราะก่อนหน้าไปฉีดฟิลเลอร์มา หมอห้ามกินเหล้า เลยไม่ได้กินจากนั้นเป็นต้นมา (หัวเราะ)
ตั้ม : แรกๆ ผมอ่าน คอมเมนต์ตลอดเลยนะ ด้วยความที่มันใหม่ บางคนเขาก็วิจารณ์เรื่องการเล่นสด แต่บางทีเราเจอคอมเมนต์แบบด่าเลอะเทอะก็มี ตอนแรกก็รับไม่ได้ครับ เพราะผมค่อนข้าง Perfectionist แต่เราควบคุมทุกอย่างไม่ได้ มันก็จะมีเรื่องไม่คาดฝันตลอด แล้วเราก็ไม่ได้มีคนช่วย ไม่มีค่าย ก็จะมีความไม่พร้อมเยอะมาก แต่พอเราไปเห็นคลิปที่เราเล่นแล้วรู้สึกแย่จริงๆ ก็พยายามปรับตัว อ่านให้น้อยลง จริงๆ ก็เลิกอ่านเลย แล้วไปถามคนในวงการว่าต้องทำอะไรบ้าง เอาข้อมูลจากคนทำงานจริง ไม่มีอคติกับเรา แล้วเอามาปรับใช้จนทุกวันนี้ครับ
เริ่มปรับตัวได้
ตั้ม : ช่วงที่ได้เล่นในงานเทศกาลต่างๆ ก็ไม่ค่อยมีปัญหาแล้วครับ ก็คิดแค่ว่าพัฒนาบนเวทีขึ้นเรื่อยๆ
สบาย : เราจะคิดว่าเวทีใหญ่ เล็กก็ไม่ต่างกัน คิดให้มันไม่ตื่นเต้น คิดว่าเป็นการทำงาน เขาจ่ายตังค์มาดูเรา เราก็บริการร้องเพลงกลับไป คิดแบบนั้นเลยไม่ตื่นเต้นแล้ว
กับการทำงานค่ายเพลง
ตั้ม : ก็มีมาจีบหลายค่ายเลยครับ ตอนนั้นเขามาตอนเรายังไม่พร้อม ซึ่งพวกเราก็ไม่พร้อมจริงๆ คือพี่ๆ ก็เป็นห่วงเราว่าไม่พร้อม แล้วไม่มีใครช่วยเลย ช่วงแรกๆ ก็อยากอยู่ค่าย เพราะว่าก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม เพราะเราก็ประกวดดนตรีมา พอเขามาติดต่อก็อยากอยู่นะครับ แต่พอเรามานั่งคิดชั่งน้ำหนักกัน 2 คน เราน่าจะจัดการกันเองได้ เราไม่ได้ต้องการทีมเขียนเพลง อีกอย่างเราอยู่กับทีม Believe ที่เป็น Artist Service ที่ช่วยซัพพอร์ตเราหลายอย่าง ตอนนี้ก็เลยเลือกที่จะทำผลงานอิสระ
การทำงานและความสัมพันธ์
สบาย : มีทะเลาะมากขึ้นนิดนึง ปกติไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นคนง่ายๆ ทั้งคู่ แต่พอมีเรื่องงาน ก็ต้องมีเรื่องที่บังคับกัน เพราะงานต้องออกมา Perfect
ตั้ม : มันแยกยากเหมือนกันนะครับ เพราะเวลาเราไปทำงานมา ไปเจอแฟนคลับเราก็ขอบคุณที่ชอบผลงานเรา แต่ไม่ว่าจะมีคนชอบ คนกรี๊ดแค่ไหน สุดท้ายเราก็กลับมาบ้านและอยู่กัน สองคน ก็เป็นตั้ม เป็นสบาย เหมือนเดิม ไม่ได้เป็นเรนิษรา เรื่องส่วนตัวเราแยกกันได้
ชีวิตศิลปิน
ตั้ม : ตอนแรกรู้สึกว่ามันนะ อาชีพศิลปิน แต่พอลองทำมาเรื่อยๆ มันรู้สึกว่าเหมือนเราเป็นละครสัตว์ เหมือนแบบนั้นเลยนะครับกับการเล่นดนตรีกลางคืน ทุกครั้งที่เราเล่นเพลงดัง เขาจะยกโทรศัพท์มาถ่าย เพื่อจะได้เอาไปลงโซเชียลว่าไปดูเรนิษรา มาอวดว่ามาฟังเพลงนี้ แต่พอเล่นเพลงอื่นเขาก็ไม่ได้สนใจพวกเรา เขาสนใจแค่ความดังของเราที่สามารถจะเอาไปอวดได้
สบาย : แรกๆ เวลาร้องเพลงอยู่แล้ว หนูมองลงไปข้างล่างเวที สายตาที่หนูเห็นคือผู้หญิงจะมองแบบหัวจรดเท้าเลย พอเพลงผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัว ก็หยิบมือถือมาถ่ายรูป ถ่ายคลิป พอเพลงจบก็กินเหล้าต่อ ก็ไม่รู้มาดูทำไม
ตั้ม : ซึ่งมาถึงวันนี้ ไม่มีแบบนั้นแล้วนะครับ แต่เมื่อเก่นเราโดนจริงๆ แบบบอกว่าไอ้วง TikTok, ไอ้วงตลาดล่าง, ไอ้วงดังเพลงเดียว มึงก็มีแค่เพลงนี้แหละ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเพราะเพลงมันดังเกินไป จนเขาฟังจนเอียนเลยเกลียดเราหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังๆ ก็ไม่มีแบบนี้แล้ว เล่นดนตรีตอนนี้ก็แฮปปี้ครับ
Radio Star เป้าหมายสูงสุดของเรนิษรา
ตั้ม : คือมันมีคำว่า Pop Star อย่างเช่น Michael Jackson / Elvis ซึ่งก็เป็น Radio Star ด้วย แต่ผมกับสบาย เป็นพวกขี้เบื่อ ไม่ชอบออกสื่อเยอะ รักสงบ เราชอบอยู่บ้าน เราอยากให้คนฟังเพลงเรามากกว่า อยากให้คนสนใจที่เพลงมากกว่า หน้าตาเรา ผมอยากให้คนโฟกัสเพลง เลยนิยามว่า เราอยากเป็น Radio Star คือต่อไปผมกับสบายเอง ก็ต้องแก่ อายุเยอะขึ้น จะมาขายความเด็ก ความเป็นคู่รักหนุ่มสาวแบบนี้ไม่ได้แล้ว ก็จะเป็นลุงป้า เราเลยอยากให้ฟังเพลงของเราไปตลอดมากกว่า ถึงวันนี้เรา 2 คน มาถึงฝันเร็วนะ อยากมีอัลบั้ม มีเพลงฮิต ได้เล่น Festival ใหญ่ๆ ซึ่งตอนนี้ผมกับสบาย เพิ่งอายุ 22 เรามาถึงฝันเร็ว ก็เลยรู้สึกว่าว่างเปล่านิดหนึ่ง บางทีเราก็คิดว่าเราควรจะดีใจมากกว่านี้หรือเปล่า
สบาย : อยากอยู่บ้าน เล่นเกม เลี้ยงแมว นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำงาน (หัวเราะ)
ผลงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตั้ม : ก็น่าจะมีอัลบั้ม ตอนนี้มีทำไว้ 15 เพลง นับหนึ่งตั้งแต่เพลงผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง ก็มีเพลงที่เซอร์ไพรส์เช่นเพลงที่ feat. กับคนอื่นด้วย แล้วอาจจะมีเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องเลย ส่วนชื่ออัลบั้มวางไว้คร่าวๆ ว่า “ขับรถออกไปกับเรนิษรา” แต่ถึงเวลาอาจจะเปลี่ยนได้ ยังไงฝากขอบคุณแฟนคลับที่ติดตามเรามาตั้งแต่แรก เป็นผู้มีพระคุณกับเรามากๆ แล้วก็น่าจะได้ฟังผลงานของเราเรื่อยๆ แน่นอนครับ