“ชื่อหนูเขียนด้วยไม้โทมาตลอดนะ คือหนูชินกับการเขียนแบบนี้มาทั้งชีวิต แต่ตอนมาที่ค่ายเขาอยากให้ใช้ไม้ตรี แต่หนูชินไปแล้วก็ใช้ไม้โทดีกว่า” แน่นอนประเด็นเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกเราเมื่อสาวน่ารักขนาดนี้มาอยู่ต่อหน้า การได้พูดคุยแบบสบายๆ ในหลายๆ เรื่องกับ “อิ้งค์ วรันธร” ทำให้เราหลงรักเธอมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าแฟนเพลงก็เหมือนกัน …ตัวตนของเธอเข้าใจง่าย ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรมากนัก แล้วถ้าอยากจะรู้จักตัวเธอให้มากขึ้นต้องทำอย่างไร อ่านสัมภาษณ์นี้ซะสิ เจ้าหญิง Synth Pop คนนี้ จะมีอะไรมาเล่าให้เราฟัง นี่คือการเดินทางของสาวน้อยที่ชื่อว่า “วรันธร เปานิล”
วันที่เป็นศิลปินกับที่ค่าย Boxx Music
อิ้งค์ : ตอนนั้นเป็นศิลปินเข้าปีที่ 2 คืออิ้งค์เป็นศิลปินคนแรกที่ปล่อยเพลงกับ Boxx Music เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็คือเพลง “เหงาเหงา” จะบอกว่า Boxx Music พี่ๆ ทุกคนที่ค่ายก็ยังเป็นเหมือนเดิมสำหรับเรา ยังน่ารักเหมือนเดิม ตั้งแต่วันแรกเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น คอยซัพพอร์ตเราในทุกๆ เรื่อง เวลาที่เราเครียด เศร้า ก็มีพี่ๆ ที่ช่วยเรา รู้สึกอุ่นใจ
“รอหรือพอ”
อิ้งค์ : สำหรับอิ้งค์ก็โอเคมากนะคะ เวลาทำเพลง อิ้งค์ไม่ค่อยคาดหวังผลว่ามันจะต้องดังหรืออะไร สมมติเราปล่อยไปแล้วมีคนจำนวนนึงชอบเราก็โอเคแล้วเพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าเพลงไหนจะดัง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือทำให้ตัวเราไม่เครียดและมีความสุขในการทำงานต่อไป เวลาทำงานจะตั้งใจกับมันผลจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้ฟัง จริงๆ เพลงนี้ยากตรงที่อิ้งค์ไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมในแบบเพลงนี้เลย มันก็เลยถ่ายทอดออกมายากเหมือนกัน เพลงนี้ทำงานกับพี่แทน Lipta ซึ่งจริงๆ เพลงนี้ถูกเขียนหลังจากเพลง “ดีใจด้วยนะ” ทำเสร็จ มันเป็นเหมือนเพลงภาคต่อกัน มันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรัก ที่คนบางคนไม่สามารถ Move On ได้อยู่ในโลกใบเดิมๆ ยังทำอะไรเดิม ส่อง Story เขาเรื่อยๆ คือเหมือนรอเขากลับมา แต่ปากแข็งว่าไม่ได้รอ หากวันนึงเขากลับมาก็ดีใจแน่ๆ จะเป็นประมาณนี้ค่ะ แบบดื้อที่จะรอต่อ ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่อิ้งค์ไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้เลย เพลงในมุมนี้ อิ้งค์ว่าเล่าเรื่องยาก คนที่เลือกจะรอ อิ้งค์ว่าน้อยกว่าคนที่จะเลือกเดินต่อ
ย้อนกลับสมัยตอนที่เป็นศิลปินครั้งแรกในนาม Chilli White Choc ไปวันที่อิ้งค์ไม่ได้ทำ Chili White Choc ต่อ ในวันนั้นอิ้งค์มีความรู้สึกยังไงบ้าง
อิ้งค์ : คือตอนนั้นอิ้งค์อยู่ประมาณ ม.2 ซึ่งอิ้งค์ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างนึงเลย ที่ทำให้เราโตขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน เรื่องการรู้จักตนเอง เรื่องการทำงานกับคนจำนวนมาก การทำงานแบบมืออาชีพเป็นยังไง ณ ตอนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กอายุ 14 เหมือนกันนะคะ มันเป็นการทำงานครั้งแรกและเราแบ่งเวลาไม่เป็นเลย ถามว่ามีเรื่องเฟลไหม มีแน่นอนค่ะ เพราะตอนนั้นอิ้งค์เด็กมากกับการที่จะรับมือกับเรื่องต่างๆ แต่ไม่เคยเฟลถึงขนาดจะเลิกร้องเพลง เพราะอิ้งค์ว่าดนตรีมันไม่เคยทำร้ายอะไรใครอยู่แล้ว สิ่งที่เราเฟลมันก็เกิดจากการปรับตัวไม่เป็นของเรา การแบ่งเวลาที่ไม่เป็นของเรามากกว่า พอหลังจากจบตรงนี้อิ้งค์ก็ไปเรียนร้องเพลงกับที่สาธิต มศว. ประสานมิตร แล้วก็เข้าศิลปกรรมจุฬาฯ ก็ร้องพวกโอเปร่าเลย โดยที่เราไม่ได้คาดหวังจะกลับมาเป็นศิลปินนักร้อง เราแค่รู้สึกว่าคนเราชอบทำอะไรก็ทำสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราอาจจะค้นพบสิ่งที่เป็นตัวเองจริงๆ จากสิ่งที่ตัวเองชอบ ตอนเรียนที่สาธิต มศว. อิ้งค์จะประกวดคู่กับกันต์ ชุณหวัตร คือเขาเล่นกีตาร์ อิ้งค์ร้อง พอเข้ามหา’ลัย ก็มาเรียนเรื่องร้องโอเปร่าก็มีไปสอบเกรด สอบเพลง Broadway เก็บไว้บ้าง อิ้งค์ไม่ได้ตั้งเป้าหรือยังหาไม่เจอเลยตอนนั้นว่าอยากเป็นอะไร แต่ชอบที่จะได้เรียนรู้เรื่องการออกเสียง การร้องเพลง เราเลือกโอเปร่า เพราะรู้สึกว่ามันจะยากที่สุด ยากที่สุดตั้งแต่เราเรียนร้องเพลงมา
การเลือกมาอยู่ค่าย Boxx Music
อิ้งค์ : ซึ่งไม่เกี่ยวกับโอเปร่าเลย ไม่เกี่ยวกันมั้ย (หัวเราะ) ตอนนั้นอิ้งค์อยู่ปี 4 เป็นช่วงที่พี่พล (คชภัค ผลธนโชติ) กับพี่โอ๊บ (เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ) กำลังจะทำค่าย Boxx Music พี่ๆ เขามาถามอิ้งค์ว่ายังมีความฝันในการทำเพลงอยู่อีกมั้ย คือการตัดสินใจมาอยู่ค่าย Boxx Music เราก็ไม่ได้หนักใจมากเพราะพี่โอ๊บ อิ้งค์รู้จักตั้งแต่ไปร้องคอรัสกับวง Time (เสียงเด็กในเพลงก่อนมะลิบานเป็นเสียงของอิ้งค์) แล้วก็พี่โอ๊บก็ให้ไปร้องคอรัสอยู่เรื่อยๆ อย่างพี่พล ก็มีเรื่องเล่าตลกๆ คือ วง Clash เคยไปจอดรถแล้วก็ลงมาเรียงยืนหน้าโรงเรียนรออิ้งค์เดินมา (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นเพื่อนอิ้งค์ทุกคนก็กรี๊ดแบบวง Clash มา เขามาทำอะไร แล้วทุกคนใส่ชุดดำ แว่นดำ พี่พลบอกว่ายังกะแก๊งลักเด็ก เราก็เท่เลย (หัวเราะ) คือพวกเราสนิทกันมากจนคิดว่าถ้าเราทำเพลงค่ายนี้จะเป็นค่ายที่เราอุ่นใจที่สุดแน่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกคนต้องรักเราประมาณนึงแหละ (หัวเราะ)
จนมาออกผลงานเพลง “เหงาเหงา” กับบทบาทศิลปิน Synth Pop
อิ้งค์ : ตอนทำเพลงนี้มันเป็นการค้นหาตัวเองของอิ้งค์ประมาณนึง เราเอาเพลงที่เราชอบมานั่งดูกับพี่ๆ ว่าแบบไหนจะเหมาะ จริงๆ เราทำเดโม่ออกมาหลายๆ แบบ ปรากฏ ว่ามันมาจบที่ Synth Pop เพราะว่าอิ้งค์ก็กำลังอินกับแนวนี้ แล้วพวกพี่ๆ เองเขาก็ชอบเช่นกัน ก็เลยทำเดโม่ออกมา 2 เพลง เหงาเหงา เป็นเพลงที่ 2 แล้วมันก็ใช่มากเลย เรารู้ว่าสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่เราอยากได้ยิน อยากให้คนได้ยิน แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอเป็น เหงาเหงา ก็โอเคเลย ซึ่งเพลงนี้อิ้งค์ไม่ได้คาดหวังเลยนะ มันเหมือนการนับศูนย์ไปด้วยกัน ค่ายใหม่ ศิลปินใหม่ และไม่มีใครจำเราได้แล้ว ยอด Subscribe เป็น 0 ดังนั้นเราเลยไม่ได้คาดหวังอะไร แต่กลายเป็นคนชอบเพลงนี้เยอะกว่าที่เราคิดมากๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เราภูมิใจแล้วก็อยากทำมันเรื่อยๆ ซึ่งตอนออกมาบางคนก็เริ่มคุ้นกับเราแล้ว บางคนก็รู้จักแต่เพลง
“ฉันต้องคิดถึงเธอแบบไหน” คือช่วงที่ปรับตัวได้แล้วใช่ไหมกับการเป็นศิลปินอีกครั้ง
อิ้งค์ : มันเป็นช่วงที่อิ้งค์เริ่มรู้แล้วว่าอยากจะบอกอะไรกับผู้คน หลังจากที่เราเริ่มเรียนรู้วิธีการทำงานจากเพลงแรกแล้ว ต้องขึ้นเดโม่ยังไง Art เป็นแบบไหน เราเริ่มรู้ว่าเราอยากพูดเรื่องอะไร อย่างเพลงนี้ได้มาจากเพื่อนสนิท ที่ชอบมาเล่าให้เราฟังว่าเราคุยกับใครสักพักเขาก็หายไป ตกลงจะเอายังไงกันแน่ แล้วเราได้ยินเรื่องนี้บ่อยมาก จนเรารู้สึกว่าต้องมีคนที่รู้สึกแบบนี้เยอะ ก็เลยเลือกหยิบมาเขียน แต่ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อิ้งค์เริ่มจะปรับเรื่องการเพอร์ฟอร์ม เพราะช่วงแรกๆ อิ้งค์เป็นคนที่ไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าที่จะเชียร์คนให้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ โยกตัว ส่งเสียง ปรบมือตาม เราไม่รู้จะพูดยังไง พูดเข้าเพลงก็พูดติดๆ ขัดๆ งงๆ ย้อนไป ย้อนมา ก็เลยไปเรียนพูด พี่พล ส่งไปเรียนจริงจังเลย จนรู้สึกว่าก็ดีขึ้น ก็เริ่มเขียนสคริปต์ ช่วงแรกๆ อิ้งค์เขียนสคริปต์จริงจังเลยว่าจะพูดอะไรบ้าง คือเขียนยาวมาก ทำแทบทุกโชว์ ซึ่งได้ฝึก ก็ส่งให้พี่ครีเอทีฟตรวจด้วยก็จะมีการปรับแก้ตลอดก็ทำเกือบ 2 ปี
เกี่ยวกันไหม, ความลับมีในโลก คือช่วงที่เรียกศิลปินได้เต็มตัว และเริ่มมีแฟนคลับมากขึ้นรู้สึกยังไงบ้างในช่วงนี้
อิ้งค์ : “เกี่ยวกันไหม”ทำให้อิ้งค์เหมือนเปิดประตูอีกบาน ก่อนหน้านั้นอิ้งค์มีแต่เพลงเศร้าๆ ไม่สดใส พอเพลงเกี่ยวกันไหม เปิดอีกด้านให้เห็นมุมสดใสของเรา ทำให้คนเข้าหาเราง่ายขึ้น กลายเป็นผู้หญิงที่ดูแล้วน่าทำความรู้จักมากขึ้น…รึเปล่า (หัวเราะ) แต่ก็ดีใจมากเพลงนี้เป็นเพลงที่เวลาไปเล่นมันสนุก คนดูสนุกเริ่มมีแฟนคลับของเราบ้างแล้ว
“ดีใจด้วยนะ” ทำให้อิ้งค์กลายเป็นที่รู้จักอย่างเต็มตัว มีคนพูดถึงอิ้งค์ในวงกว้างมากขึ้น การทำงานช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง
อิ้งค์ : ด้วยเนื้อหาเพลงนี้ อิ้งค์ว่าเข้าถึงคนส่วนมากได้ เพราะทุกคนเคยมีแฟนเก่า เวลาที่เรามีแฟนเก่า เรามักจะเห็นเขามีความสุขหลังจากที่เลิกจากเราไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เอ๊ะ! นี่คือความสุขที่เขาต้องการมาตลอดหรือเปล่าซึ่งบางทีบางคนอาจจะไม่ได้รู้สึกตามเพลงก็ได้ แต่ ณ จุดนึงในใจครั้งนึงเราเคยเป็นคนที่รักกัน เวลาที่เราเห็นคนที่เราเคยรักมีความสุข ลึกๆ เราก็คงต้องมีอารมณ์แบบ ดีใจด้วยนะ ซึ่งเป็นจุดที่อิ้งค์ว่าทำให้คนเข้าถึงง่าย และชอบเพลงนี้ แล้วเราก็ได้เจอคนมากขึ้น
อย่างเช่นมือกีตาร์วงร็อควงนึง
อิ้งค์ : (หัวเราะ) พูดเหมือนรู้อะไรมา (หัวเราะ) อิ้งค์ก็ดีใจค่ะ ที่ได้เจอผู้คนมากมายหลังจากทำเพลงแต่ละเพลงไป บางคนก็เริ่มรู้จากอิ้งค์จากเพลง “ดีใจด้วยนะ” เลยก็มี คืออิ้งค์ไม่ได้ดังนะคะ ในความคิดตัวเอง เรายังอยากให้คนรู้จักโดนการทำเพลงให้มากขึ้น อยากให้คนฟังเพลงที่เราทำ แม้จะไม่รู้จักหน้าตาเราก็ยังดี ซึ่งพอเรามีคนรู้จักเรา รู้จักเพลงของเรา เราก็ดีใจ ดีใจด้วยนะ (หัวเราะ)
คอนเสิร์ตใหญ่ที่ผ่านมา Ink Secret Between Us เกือบไม่มีการเปิดรอบสอง
อิ้งค์ : บอกตรงๆ ว่าตอนอิ้งค์มาดูเลขยอดบัตร อิ้งค์ไม่ได้อาบน้ำเลยอะ (หัวเราะ) คือตื่น 9 โมง บัตรเริ่มขาย 10 โมงเช้า เราก็เตรียมจะต้องทำหลายอย่างวันนั้น คืออิ้งค์นี่เกาะติด Twitter เลย เราก็คอยดูตามดูแฮชแท๊ค #INKWaruntorn #SecretBetweenUs ก็ตื่นเต้นตามแฟนๆ เลย แต่อิ้งค์ไม่ได้คิดว่ามันจะ Sold Out เร็วขนาดนี้คือ อิ้งค์ไม่ทำอะไรเลยจนเที่ยง ไม่ได้อาบน้ำเลย แล้วพอเที่ยงประกาศ Sold Out แล้ว อิ้งค์แน่วแน่มากว่าจะไม่ทำคอนเสิร์ตรอบ 2 เราไม่ได้คิดว่าจะ Sold Out เราประเมินตัวเองอีกแบบจนมีคนโทรมาถามว่าอิ้งค์บัตรเหลือมั้ย แบบมีโทรศัพท์เข้ามาตลอดเวลา จนมีโทรศัพท์ที่มาเปลี่ยนความคิดอิ้งค์คือคุณคชภัคนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) วันไหนต้องจ้างทนายไว้คุยด้วยแล้ว (หัวเราะ) คือตอนแรกพี่พล โทรมาบอกว่า Sold Out แล้วนะ ซึ่งอิ้งค์ก็พอรู้แล้วล่ะ แต่เราก็ยืนยันว่าเอารอบเดียว เพราะเดี๋ยวจะทำ Art Work ทำอะไรไม่ทัน พี่พลก็บอกเดี๋ยวไปต่อรองให้ ก็หายไปสักพักโทรกลับมาใหม่ อิ้งค์แต่พี่ว่า…. (หัวเราะ) คือพอพี่พล มาต่อรองเราก็พอรู้แล้วล่ะ เพราะตอนนั้นในใจอิ้งค์ก็เริ่มแอบคิดว่าเราก็อยากให้ทุกคนได้ดูในสิ่งที่เราทำ ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ ก็เลยเปิดอีกรอบ ทุกอย่างก็ต้องทำใหม่หมด ซึ่งเราดีใจมากที่ตัดสินใจเปิดรอบ 2 เพราะไม่ใช่แค่เรามีความสุข แต่เราจะได้รับความสุขจากแฟนๆ อีกด้วย มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก มันช่วยเติมพลังให้อิ้งค์ได้ ก่อนหน้านั้น อิ้งค์เคยจัดคอนเสิร์ตสเกลเล็กๆ แค่มีคนมาก็ทำให้ 3 ปีที่อิ้งค์รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเสียใจ กดดัน ทำให้อิ้งค์มีไฟกลับมา ทำให้อิ้งค์รู้สึกว่าเราพร้อมจะมอบความสุขให้พวกเขา และเราต้องได้พลังกลับมาแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจเปิดรอบ 2
เจ้าหญิงนักกิน
อิ้งค์ : คืออิ้งค์เป็นคนที่ชอบกินนู่นกินนี่ รู้สึกว่าการทานอาหารเติมพลังเราได้ ชอบหาอะไรกินใหม่ๆ อย่างเวลาไปทัวร์ต่างจังหวัดบางคนซาวด์เสร็จอยากกลับไปนอน อิ้งค์จะไปหาอะไรเด็ดๆ กิน ซึ่งไปแต่ละที่ต้องมีอะไรเด็ดๆ
ชอบกินของหวานอะไรมากที่สุด
อิ้งค์ : ช่วงนี้จะอินชานมค่ะ จริงๆ มีช่วงนึงทานไม่ได้คุณหมอสั่งห้ามทานนม แต่ว่าตอนนี้กลับมาทานได้แล้วก็อย่างน้อยวันละแก้วค่ะ (หัวเราะ)
อาหารคาวล่ะ
อิ้งค์ : จริงๆ ทานได้หมดค่ะ แต่หลายคนชอบคิดว่าอิ้งค์ไม่กินอะไรเผ็ดๆ อย่างไปต่างจังหวัดก็ทางร้านก็เอากับข้าวมาให้เป็นปลาสูตรเด็ดจากทางร้าน แต่ไม่ได้ใส่ปลาร้ามาให้นะ ซึ่งอิงค์อยากจะบอกว่าปลาร้านั่นแหละค่ะที่อิ้งค์ต้องการ ช่วยใส่ให้ด้วยนะคะ (หัวเราะ) รถด่วนหนูก็กิน (หัวเราะ) มีไม่กี่อย่างในโลกที่ไม่กิน
อะไรบ้าง
อิ้งค์ : หนูไม่กินทุเรียน หนูไม่กินสระ และหนูเป็นคนที่ไม่ชอบกินแตงโมนอกบ้าน (หัวเราะ)
เดี๋ยวนะ มันคืออะไรยังไง
อิ้งค์ : คือหนูรู้สึกว่าแตงโมนอกบ้านเป็นแตงโมที่เหี่ยวแล้ว คือไม่ชอบกินแตงโมเหี่ยวๆ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเดินออกนอกบ้านแล้วไม่กินไม่ใช่แบบนั้นนะคะ (หัวเราะ) คือแบบอยู่ในบ้านมันปอกแล้วทานเลยไง ถ้าแบบคนอื่นปอกไว้แล้ววางไว้ค้างๆ จนแตงโมยุ่ย ก็เลยจะติดภาพแบบแตงโมนอกบ้านไม่อร่อย (ยิ้ม)
มีอะไรใหม่ๆ ที่ได้ทำหลังจากอิ้งค์ลงโซเชี่ยลแล้ว
อิ้งค์ : อิ้งค์จะมี YouTube ตัวเองด้วย ก็จะ Cover เพลงต่างๆ แต่ก็ไม่ทำบ่อย แล้วก็มี Vlog ซึ่งจริงๆ อิ้งค์พูดไม่เก่งเลยนะ จะรู้สึกว่าคนอื่นมองเราแปลกเวลาเราคุยกับกล้องคนเดียว บางทีพี่ๆ แบ๊คอัพเขาก็จะแซวแบบคุยกับใครอ่ะ เราก็เลยไม่มั่นใจที่จะคุยกับกล้อง แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าใครคุยด้วย แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันสนุกดี เพราะเวลาไปกินอะไรแต่ละที่ เราก็น่าจะแชร์ให้คนได้รู้ด้วยเริ่มต้นคือ Vlog ที่ไปญี่ปุ่น แต่พอกลับมาเป็นไข้เลือดออก ก็ไปนั่งตัดคลิปเองที่โรงพยาบาล ก็ตัดได้ประมาณ 3 EP แล้วก็หายไป ตอนนี้ก็ว่าจะกลับมาทำใหม่แล้วหลังจากไปออสเตรเลียกับพี่ๆ วง Zeal ก็เป็นประสบการณ์ที่เราน่าจะเก็บบันทึกไว้ ก็ลองไปดูกันได้ใน YouTube ได้ค่ะ
มีอะไรอยากฝากบอกพี่ๆ ทีมงาน Boxx Music บ้างครับ
อิ้งค์ : ก็อยากขอบคุณพี่ๆ ทุกคน การที่เรากลายเป็นอิ้งค์ วรันธรได้ มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว มีพี่ๆ หลายคนที่ช่วยหล่อหลอมเรา ให้กลายมาเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกสเตป เราเคยทำเรื่องผิดพลาด ไม่ถูกต้องบ้างก็โชคดีมีพี่ๆ ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจเวลาท้อแท้ อิ้งค์เป็นคนนอยเก่งมาก แล้วเป็นบ่อยมาก ดีใจที่ทุกคนคอยประคับประคองไม่ให้เครียดเกินไป อย่างเวลาอิ้งค์ไปทัวร์บ่อยๆ มากขึ้น ร่างกายมันก็ไม่ดี มันเหนื่อย ไม่สบายเรื้อรัง อย่างเป็นไซนัสเรื้อรัง จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่หาย พอร่างกายไม่แข็งแรง จิตใจก็ไม่แข็งแรงตาม เวลามีอะไรมากระทบนิดหน่อยเราก็จะนอยแล้วซึ่งโชคดีมากๆ ที่ได้พี่ๆ Boxx Music คอยช่วย หลายๆ คนที่อยู่ข้างๆ ด้วยก็รู้สึกว่าทุกคนใจดีกับอิ้งค์ตั้งแต่วันแรก
อิ้งค์ วรันธร วันนี้ กับ อิ้งค์ วรันธร เมื่อวันวาน
อิ้งค์ : อายุมากขึ้น ประสบการณ์ ความคิดก็มากขึ้นเราผ่านชีวิตมหา’ลัยมาแล้ว ผ่านช่วงหางานทำมาแล้ว เสียใจมากๆ มาแล้ว เราค่อยๆ โตตามความเจ็บปวดที่เราเจอตามแต่ละช่วงชีวิต คืออิ้งค์ก็คงไปบอกไม่ได้ว่าตัวเองเก่งหรือโตขึ้น แต่ว่าเราคิดอะไรมากขึ้น เติบโตมากขึ้นในการทำงาน แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิม ก็ยังเป็นอิ้งค์คนเดิม แต่แค่เป็นคนที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์มากขึ้น (ยิ้ม)
งานตอนนี้
อิ้งค์ : ก็ทัวร์ค่ะ ยังไม่ได้พัก (หัวเราะ) แต่อาจจะหาเวลาไปพักผ่อนกับครอบครัวบ้าง แล้วก็อัลบั้มเต็มอาจจะปลายปีเลย ยังไงก็ติดตามอิ้งค์ได้ตลอดทั้งปีค่ะ